Jump to content


ท่านที่สมัครสมาชิกเข้ามาใหม่ กรุณารอให้ Admin ได้ทำการ Validate การเป็นสมาชิก ภายใน 24 ชม.ของวันทำการ ซึ่งระหว่างที่รอ Validation ท่านอาจจะยังไม่สามารถดาวน์โหลดข้อมูลต่างๆ ได้ หากไม่ได้รับความสะดวก กรุณาอีเมลแจ้ง isothainetwork@hotmail.com

Photo

ขอปรึกษาค่ะ.... ถ้าเป็นคุณจะเลือก บริษัท. A หรือ B ?


  • Please log in to reply
16 replies to this topic

#1 Lady-SIRI

Lady-SIRI

    New Member

  • Members
  • Pip
  • 16 posts
  • Gender:Female

Posted 12 August 2018 - 10:09 PM

1. บริษัท A เงินเดือน 23,500
-ทำงาน 2 ตำแหน่งหลัก QC,Dcc มีงานยิบย่อยเพิ่มจากหน้าที่ เช่น เป็นคณะทำงานงานนั่นนี่ อีก 2-3 อย่าง
-บรรยากาศที่ทำงานเป็นกันเอง สนุกดี
-ผู้บริหารใจดี ชอบให้โอกาสคน มีอะไรคุยได้ (แต่อายุ 57 แล้วไม่รู้จะเกษียรเมื่อไหร่ ถ้าเกษียรเมียมาดูแทนน่า บ. น่าไปไม่รอด )
-ลางานง่าย
-ใกล้บ้าน ใช้เวลา 30 นาทีถึงบ้าน ไปกลับ 20 โล
-งานทำไปวันๆ ไม่เยอะ ไม่เร่ง ไม่เคยทีโอ
-ณ ปัจจุปัน ทำงาน ส เว้น ส (แต่จะยกเลิกได้ทุกเมื่อ ถ้ามีกิจกกรรมอะไรจะจัดวันเสาร์ เสาร์นั้นก็จะต้องไปทำงาน) แต่ตอนนี้มีประกาศมาว่าถ้ามีข้อร้องเรียนจากลูกค้าเคสใหญ่จะยกเลิกการหยุด ก็กลับไปทำงาน 6 วัน เหมือนเดิม
-เพื่อนร่วมงาน เราต้องตามปากเปียกปากเเฉะ ไม่ค่อยจะอยากทำตามระบบ ต้องจี้เวลาตามงาน บางงานตามเป็นเดือน 2 เดือน
-เพื่อนร่วมงานรุ่นบุกเบิกจะเจ้ากี้เจ้าการชอบไปเสนอนั่นนี่กะผู้บริหารให้ทำนั่นนี่ เพิ่มงานภาระคนอื่น เเล้วผู้บริหารก็เห็นด้วยซะงั้น
- ไม่มีโอกาสโตกว่านี้เเล้ว ตัน

สวัสดิการ
-ปรับเงินขึ้น ปีละ 500-1000 ปีล่าสุดปรับให้ 500
-วันหยุดประจำปี12-14 วัน
-ปกสค
-โบนัสไม่ถึง 1เท่า (ปีล่าสุดได้ 15,000)
- พักร้อน 7 วัน(ไม่มีทบ)
- เที่ยวประจำปี ออกให้ 5 พัน ถ้าเกินก็จ่ายส่วนต่าง แต่ไม่เเน่นอน ปีล่าสุดงดไปโดยไม่บอกเหตุผล ทั้งที่ทำทริปเรียบร้อยเเล้ว แต่บอกว่าไม่ได้งดตลอดปีหน้าค่อยว่ากัน

2.บริษัท B เงินเดือน 28,000
-ทำตำแหน่งเดียว iso officer
-เงินเดือนมากขึ้น 20%
-บรรยากาศทำงานไม่เเน่ใจ บ. ใหญ่
-เจ้านาย คาดว่า>> จะให้อิสระในการทำงาน เพราะงานเเกยุ่งไม่ค่อยมีเวลามาสั่งการ ตามที่ HR บอก
-ลางานตามกฎบริษัท
-งานมากขึ้น เพราะเนื้องานคือวางระบบให้ บ. ใช้ความสามารถเต็มที่ ท้าทาย พอเข้าที่เข้าทางอาจจะเบาลง
-ทำงาน จ-ส 6 วัน วันเสาร์คือไปชิลๆ ตาม hr บอก
จริงๆตัว บ. หยุดเสาร์อาทิตยผื แต่ส่วนงานคลังที่เข้าไปวางระบบมันทำวันเสาร์ด้วย เพื่อสเเตนบายงาน
-ทำงานขึ้นตรงกะ Director เลย
-ต้องฝ่ายเเยกที่รถติดมากในตอนเช้า ต้องตื่นเช้าขึ้น 1 ชม ไปกลับ 40 โล
- เพื่อนร่วมงานยังไม่ทราบบบบบ
-มี โอกาสเติบโตในงาน

สวัสดิการ
-วันหยุดประจำปี ไม่รู้กี่วัน
-ทันตกรรมฟรี มีคลินิกใต้ตึกเลย
-ประกันสุขภาพ
-ประกันอุบัติเหตุเเบบกลุ่ม
-ตรวจสุขภาพฟรี
-โบนัสเขาว่า 1-3 เท่ามั้ง (จากเนตไม่ใช่จาก hr)
-สหกรณ์ออมทรัพย์
-พักร้อน10 วันทบได้ไม่เกิน 20
-เงินสะสมเลี้ยงชีพ
-สัมนาใน-นอก ประเทศ แล้วเเต่ตำแหน่ง
-เงินงานพิเศษ บวช เเต่ง 9ล9
บลาาาาาา มีอีก

สอบถามเพื่อนๆว่า จะเลือกที่ไหนคะ
ถ้าที่เก่าเพิ่มเงินให้ 2-3 พัน จะอยู่ต่อไหม

ยาวเลย ขอบคุณค่ะ

#2 kan2

kan2

    Super Member

  • Members
  • PipPip
  • 34 posts

Posted 13 August 2018 - 11:30 AM

หาบริษัทที่ 3 ที่ไม่ต้องทำงานวันเสาร์ ที่สวัสดิการพอๆกันกับ 2 ที่ด้านบน 

 

ปล ทำงานหยุดเสาร์ อาทิตย์ จะไม่เหนื่อยมากและมีเวลาไปเรียนต่อและพัฒนาตนเอง 



#3 Lady-SIRI

Lady-SIRI

    New Member

  • Members
  • Pip
  • 16 posts
  • Gender:Female

Posted 13 August 2018 - 08:45 PM

หาบริษัทที่ 3 ที่ไม่ต้องทำงานวันเสาร์ ที่สวัสดิการพอๆกันกับ 2 ที่ด้านบน

ปล ทำงานหยุดเสาร์ อาทิตย์ จะไม่เหนื่อยมากและมีเวลาไปเรียนต่อและพัฒนาตนเอง



ใจอยากได้งานหยุด ส-อา มากค่ะ พยายามหาเเล้วเเต่โซนบางใหญ่ จ.นนทบุรี งานสายนี้หายากมากค่ะ ถ้ามีก็หยุดแต่ อาทิตย์ และก็สวัสดิการน้อยกว่าที่ B ถ้าเอา ส-อา จริงๆมีเเต่ในเมืองเลย ต้องเข้ากรุงเทพ ซึ่งใจเราเคยทำงานในเมืองมาเเล้วเลยไม่อยากเข้าไปอีก เพราะเหนื่อยเดินทางมากค่ะ

ถ้ามีเเค่ A หรือ B คุณ kan2 จะเลือกที่ไหนคะ

#4 Food Safety

Food Safety

    จอมยุทธย่อมมีบาดแผล

  • Super Power Members
  • PipPipPipPipPipPip
  • 6,575 posts
  • Gender:Male

Posted 14 August 2018 - 07:17 AM

แนะนำมาทำงานเป็น Auditor ครับ หยุด เสาร์ อาทิตย์ เงินเดือนเยอะ สวัสดิการดีมาก  ได้ศึกษาเพิ่มความรู้เรื่อยๆ



#5 kan2

kan2

    Super Member

  • Members
  • PipPip
  • 34 posts

Posted 14 August 2018 - 09:13 AM

ถ้าต้องให้เลือก เป็นผมเลือก A ครับ ขอเน้นบรรยากาศการทำงาน ที่ดี เน้นเรื่องการทำงานเป็นทีม สำคัญครับ 

 

ถ้าไม่มองเรื่องเงิน อีกอย่าง ทำงานใกล้บ้าน ไม่เสียเวลาการเดินทางมากนัก ทำให้เราไม่เพลีย มีเวลาอ่านหนังสือ

 

ไปพัฒนาตนเองหลังเลิกงาน 

 

แต่ไม่ใฃ่ B ไม่ดี การทำงานกับ director จะดีตรงที่เขาสอนเราโดยตรง ได้โชว์ ถ้าเข้าตา ตำแหน่งขึ้นเร็ว 

 

แต่แลกมาด้วยความเครียด ความคาดหวังที่สูง 



#6 IATF MAN

IATF MAN

    Supreme Member

  • Power Members
  • PipPipPipPip
  • 325 posts

Posted 14 August 2018 - 09:38 AM

ณ ตอนนี้ คุณมีโอกาสเลือก แต่ หลังจากคุณเข้าไป บริษัทจะมีช่วงทดลองงาน นั้นหมายความว่า เค้าจะเลือกคุณไว้ หรือไม่

ดังนั้นอยากให้ ตัดสินใจจากว่า คุณมีความสามารถ ศักยภาพ ความพร้อม ความรู้  ความเข้มแข็ง จิตใจ Mindset  ที่เหมาะจะไปกับ บริษัทไหน มากกว่า

สวัสดิ์การ วันหยุด เป็นเพียง องค์ประกอบย่อย มีอีกหลายพันบริษัทที่มีสวัสดิการ ดีเยี่ยม มากกว่านี้เยอะ มากมาย 

แต่บางคนเข้าไปแล้ว ก้ต้องถอยหลังกลับมา 

  แค่เล่าสู่กันฟังครับ



#7 natphatson

natphatson

    New Member

  • Members
  • Pip
  • 17 posts

Posted 14 August 2018 - 11:53 AM

ไม่รู้จะให้เลือก บริษัทไหนดี แต่คุณดีกว่าเราเยอะ

เราทำงาน สัปดาห์ละ 6 วัน จ.-ส. เงินเดือน 23,750 ตำแหน่ง DC ดูแล 3 ระบบ 2 บริบรัท iso 9001:2015 , ISO 14001 :2015, OHSAS 18001; 2007 ,  ERP Work book , และ ระบบ SCRAP ทั้งระบบ

 

ข้อดีคือ 1. ใกล้บ้าน ไป-กลับ 26 กิโล

            2. ใกล้โรงเรียนลูก

 

สวัสดิการ 1  โบนัสที่เคยได้ 2.5 เดือนสูงสุดที่เคยได้ (แต่แผนกอื่นๆ ได้เยอะกว่าเรา) แต่ละคนได้ไม่เท่ากันขึ้นอยู่ที่ ปลายปากกา

                2. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หัก 7 % (ได้ส่วนต่างของนายจ้าง 100% ถ้าทำงานครบ 10 ปีขี้นไป สัญญาไม่แน่นอน อยู่ที่นายจ้าง)

                3. พักร้อนไม่เกิน 12 วัน ถ้าพักร้อนเหลือหักทิ้งให้ให้เงินคืน ไม่ทบ

                4. หยุดกิจ+ป่วยเกิน 9 วันหักโบนัส 20% , 10-19 วัน หัก 40%

                5. เบี้ยขยัน รายเดือนไม่มี ให้เป็นปี ไม่ขาดไม่ลา ไม่สาย ทั้งปี ให้ 2,000 บาท

                6. ป่วยหาหมอคลีนิคเอาใบเสร็จมาเบิกได้ไม่เกิน 750 บาท

                7. เลี้ยงข้าววันเกิด

                

คิดว่าเราควรจะเปลี่ยนงานมั้ยละ



#8 iso_man

iso_man

    Super Hornor Member

  • Super Power Members
  • PipPipPipPipPipPip
  • 5,134 posts
  • Gender:Male

Posted 14 August 2018 - 12:24 PM

เลือกที่คุณคิดว่าสบายใจฟุดๆ มีเวลาให่ตัวเองและครอบครัว ไม่ต้องไปบ้างานมากจนกลายเป็นคนรักงาน ลืมรักตัวเอง และคิดว่าเงินแค่นี้ก็พอเพียงและยั่งยืนสำหรับการดำรงชีวิตเราได้ ส่วนผมเลือกเป็นนายตัวเอง เพราะจัดการทุกอย่างได้ที่กล่าวมา


การมีความรู้ มาจากการเรียนรู้ และปฏิบัติ หากเรียนอย่างเดียวไม่ปฏิบัีติก็เรียกว่ารุ้ไม่จริง
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ chatriwat@hotmail.com
Facebook: poppithai
Tel:089-6834451

#9 Lady-SIRI

Lady-SIRI

    New Member

  • Members
  • Pip
  • 16 posts
  • Gender:Female

Posted 14 August 2018 - 04:12 PM

ตอนนี้คิดหนักมากค่ะ ใจนึงก็ใจหายกะที่เดิมเพราะทำมา 5 ปีแล้ว เเต่ที่คิดหางานใหม่เพราะ เริ่มไม่สนุกกะงาน รู้สึกเบื่องานทำไปวันๆ มันเนือยๆ เเละเบื่อกับสวัสดิการที่ไม่มีเเนวโน้มจะพัฒนาให้ดีขึ้น

งานที่ใหม่ก็อยากได้ เพราะ มีความมั่นคงมากกว่าที่เดิมมาก

คิดหนักเลยค่ะ ขอบคุณมุมมองทุกคนนะคะ

#10 Suppadej

Suppadej

    Super Hornor Member

  • Super Power Members
  • PipPipPipPipPipPip
  • 1,608 posts
  • Gender:Male

Posted 14 August 2018 - 04:44 PM

"มนุษย์เงินเดือน" หลายคนคงเคยผ่านจุดลังเลของชีวิตในการตัดสินใจเปลี่ยนงานมาบ้างแล้ว ในขณะที่คนบางคนกำลังอยู่ในช่วงกำลังตัดสินใจ ช่วงเวลานี้ถือเป็นช่วงเวลาแห่งความลังเล ความสับสน ช่วงของการขาดความมั่นใจในตัวเองสูง ยิ่งถ้าสิ่งที่เรากำลังตัดสินใจนั้นมันมีน้ำหนักค่อนข้างสูสีกัน เช่น งานเก่าก็มีข้อดีหลายอย่าง แต่งานใหม่เงินเดือนดีกว่าและท้าทายกว่า 

 

คนทำงานส่วนใหญ่เมื่อไม่แน่ใจในตัวเองก็มักจะใช้วิธีการที่ง่ายที่สุดคือสอบถามความคิดเห็นจากคนรอบข้างเกือบทุกคน(ยกเว้นหัวหน้า)ว่าเราควรจะเลือกทางไหนดี ทำงานที่เก่าต่อไปอย่าคิดอะไรมากหรือตัดสินใจให้เด็ดขาดเสี่ยงเป็นเสี่ยงไปตายเอาดาบหน้า เมื่อเราใช้วิธีทำประชามติจากคนรอบข้างสิ่งที่เราจะได้รับนั้น บอกได้เลยว่ายิ่งทำให้เราสับสนและลังเลมากกกว่าที่เราคิดเองคนเดียว เพราะคำตอบที่ได้จะมีทั้งสองฝ่ายคือเห็นด้วยกับการเปลี่ยนงานใหม่ เพราะคนกลุ่มนี้กำลังเบื่องานปัจจุบันอยู่เหมือนกัน ตัวเองก็คิดว่าถ้าตัวเองได้งานใหม่ก็คงไปแน่ๆ ส่วนคำตอบของคนกลุ่มที่บอกว่าอย่าไปเลยมันเสี่ยงที่เก่านะดีอยู่แล้ว คนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นพวกที่อยู่มานานไม่ค่อยเปลี่ยนงานและไม่คิดจะเปลี่ยนงานแน่ๆ ยิ่งเราถามคนอื่นมากเท่าไหร่ เราจะได้คำตอบจากสมมติฐานและพื้นฐานชีวิตแต่ละคนมากยิ่งขึ้น เพราะคำตอบที่ได้เขาเอาเหตุการณ์ของชีวิตเราไปตัดสินบนพื้นฐานของประสบการณ์ ความรู้สึกและทัศนคติความเชื่อของตัวเขาเอง

เมื่อไหร่ที่เราตัดสินใจโดยให้ทุกอย่างเกิดขึ้นในหัวและในใจรับรองได้ว่าเราจะตัดสินใจโดยใช้ความรู้สึกมากกว่าข้อมูลข้อเท็จจริงหรือเหตุผล เพราะการตัดสินใจในแต่ละนาทีที่เกิดขึ้นในใจเรามันจะเกิดขึ้นทีละประเด็น มันไม่ได้มีการเปรียบเทียบข้อมูลของงานเก่าและงานใหม่ทั้งหมดพร้อมกัน จุดนี้คื่อหลุมพรางของการตัดสินใจที่ลึกและน่ากลัวมากสำหรับคนที่กำลังคิดที่จะตัดสินใจเปลี่ยนงาน

ดังนั้น สิ่งที่อยากจะแนะนำสำหรับคนที่ตกอยู่ในช่วงเวลาของความลังเลใจ ผมคิดว่าควรจะปฏิบัติดังนี้

• เลิกคิดเรื่องนี้สักหนึ่งหรือสองวันให้จิตใจที่กำลังสับสนวุ่นวายได้พักผ่อนเพื่อกลับมาสู่สถานะจิตใจที่ปกติ

• หลังจากพักคิดเรื่องนี้ไปแล้ว ให้นำกระดาษขึ้นมา 2 แผ่นวางด้านซ้ายมือหนึ่งแผ่นและอีกแผ่นหนึ่งวางไว้ด้านขวา

• ให้หยิบกระดาษแผ่นแรกขึ้นมาเขียนถึงข้อดีและข้อเสียของงานปัจจุบันโดยไล่ไปทีละข้อ เช่น เงินเดือน ปริมาณงาน โอกาสก้าวหน้า สถานที่ทำงานกับบ้าน เพื่อนร่วมงาน สวัสดิการ ฯลฯ โดยให้แบ่งกระดาษแผ่นนี้ออกเป็นสองส่วนโดยส่วนแรกเขียนถึงสถานะปัจจุบัน ส่วนที่สองให้เขียนความเป็นไปได้อีก 5 ปีข้างหน้า เช่น ปัจจุบันเงินเดือน 20,000 บาท อีก 5 ปีข้างหน้าเงินเดือนน่าจะประมาณ 30,000 บาท เมื่อเขียนเสร็จแล้วให้วางกระดาษแผ่นนี้ไว้ที่เดิมโดยคว่ำไว้ เลิกสนใจกระดาษแผ่นนี้ไว้สักครู่หนึ่งก่อน และเดินไปดื่มน้ำหรือเดินเล่นสักพักหนึ่งแล้วค่อยกลับมา

• หยิบกระดาษแผ่นที่สองขึ้นมาแล้วแบ่งออกเป็นสองส่วนเหมือนกันส่วนแรกคือสิ่งที่บริษัทใหม่เสนอให้เรา และส่วนที่สองคืออนาคตของงานในที่ใหม่อีก 5 ปีข้างหน้า แล้วเขียนหัวข้อที่เหมือนกับแผ่นแรก เช่น เงินเดือน สวัสดิการ ฯลฯ พยายามเขียนข้อมูลให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ข้อมูลไหนไม่รู้ไม่แน่ใจ ทำเครื่องหมาย ? ไว้

• เมื่อเขียนข้อมูลของกระดาษทั้งสองแผ่นแล้วให้นำเอาข้อมูลในกระดาษทั้งสองแผ่นมาเปรียบเทียบกันว่าโดยภาพรวมแล้วใจเราไปทางไหนมากกว่ากัน

• เอากระดาษสองแผ่นนี้ติดตัวไปตลอดเวลาไม่ว่าจะไปไหนรวมถึงถ่ายสำเนาแปะไว้ที่ฝาห้องนอนด้วยยิ่งดี ดูและคิดตัดสินใจทุกวันก่อนนอน จนกว่ากระดาษแผ่นใดแผ่นหนึ่งจะเข้ามาอยู่ในใจเราติดต่อกันเกิน 3 วันถือว่าสิ้นสุดการตัดสินใจ

เมื่อตัดสินใจเลือกงานใดงานหนึ่งแล้วไม่ว่าจะเป็นงานเก่าหรืองานใหม่ให้ซ้อมเสียดายงานที่เราไม่เลือก เช่น ถ้าเราเลือกงานใหม่ เราคิดว่าเมื่อเราออกไปแล้วเราน่าจะรู้สึกเสียดายอะไรบ้างจากงานปัจจุบัน ในทางกลับกันถ้าเราเลือกที่จะทำงานอยู่ทีเดิม เมื่อเวลาผ่านไปในอนาคตเราคิดว่าเราจะรู้สึกเสียดายอะไรจากงานใหม่ที่เราไม่เลือก แล้วลองชั่งน้ำหนักดูว่าความเสียดายด้านไหนมีผลกระทบต่อจิตใจเรารุนแรงกว่ากันหรือความเสียดายอันไหนที่เราคิดว่าเรารับได้

• ขั้นตอนสุดท้ายคือการตัดสินใจว่าจะเลือกที่จะทำงานต่อกับที่ทำงานเดิมหรือเลือกที่จะลาออกไปทำงานที่ใหม่

• เมื่อเลือกงานใดงานหนึ่งแล้ว กรุณาฉีกกระดาษแผ่นทีไม่เลือกทิ้งไปและพยายามลืมมันให้เร็วที่สุด มิฉะนั้น มันจะตามมาหลอกหลอกเราเวลาเราเจออุปสรรคจากงานที่เราเลือก เช่น เลือกงานเดิม ถ้าเรายังมีเยื่อใยกับงานใหม่ วันไหนหัวหน้า(คนเดิม)ด่า วันนั้นวิญญาณชั่วร้ายของงานใหม่จะเข้าสิงเราทันที "ไม่น่าเลย รู้ยังงี้ลาออกไปทำงานที่ใหม่ก็ดี"

กติกาข้อสุดท้ายที่คนที่กำลังตัดสินใจเปลี่ยนงานควรจำไว้คือ "ไม่มีการตัดสินใจครั้งไหนผิดพลาด" เพราะการตัดสินใจของคนไม่มีคำตอบที่ถูกผิดโดยเฉพาะการเปลี่ยนงาน เพียงแต่การตัดสินใจในแต่ละครั้งนั้นรอบคอบหรือไม่รอบคอบเท่านั้น การตัดสินใจแต่ละครั้งเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมเท่านั้น ดังนั้น ไม่ว่าเราจะตัดสินใจแบบไหนรับรองว่าไม่ผิด เพราะเมื่อไหร่ที่เราเชื่อว่าการตัดสินใจทุกครั้งจะมีผิดกับถูก เราจะรู้สึกกังวลกับผลของการตัดสินใจและมันเป็นแผลในใจไปตลอดชีวิต

ที่มา  http://www.peoplevalue.co.th


"ในโลกนี้ไม่มีคนแปลกหน้าสำหรับเรา มีแต่เพื่อนที่เรายังไม่ได้พบกันเท่านั้น" E-mail suppadej@gmail.com

#11 Lady-SIRI

Lady-SIRI

    New Member

  • Members
  • Pip
  • 16 posts
  • Gender:Female

Posted 14 August 2018 - 10:37 PM

"มนุษย์เงินเดือน" หลายคนคงเคยผ่านจุดลังเลของชีวิตในการตัดสินใจเปลี่ยนงานมาบ้างแล้ว ในขณะที่คนบางคนกำลังอยู่ในช่วงกำลังตัดสินใจ ช่วงเวลานี้ถือเป็นช่วงเวลาแห่งความลังเล ความสับสน ช่วงของการขาดความมั่นใจในตัวเองสูง ยิ่งถ้าสิ่งที่เรากำลังตัดสินใจนั้นมันมีน้ำหนักค่อนข้างสูสีกัน เช่น งานเก่าก็มีข้อดีหลายอย่าง แต่งานใหม่เงินเดือนดีกว่าและท้าทายกว่า

คนทำงานส่วนใหญ่เมื่อไม่แน่ใจในตัวเองก็มักจะใช้วิธีการที่ง่ายที่สุดคือสอบถามความคิดเห็นจากคนรอบข้างเกือบทุกคน(ยกเว้นหัวหน้า)ว่าเราควรจะเลือกทางไหนดี ทำงานที่เก่าต่อไปอย่าคิดอะไรมากหรือตัดสินใจให้เด็ดขาดเสี่ยงเป็นเสี่ยงไปตายเอาดาบหน้า เมื่อเราใช้วิธีทำประชามติจากคนรอบข้างสิ่งที่เราจะได้รับนั้น บอกได้เลยว่ายิ่งทำให้เราสับสนและลังเลมากกกว่าที่เราคิดเองคนเดียว เพราะคำตอบที่ได้จะมีทั้งสองฝ่ายคือเห็นด้วยกับการเปลี่ยนงานใหม่ เพราะคนกลุ่มนี้กำลังเบื่องานปัจจุบันอยู่เหมือนกัน ตัวเองก็คิดว่าถ้าตัวเองได้งานใหม่ก็คงไปแน่ๆ ส่วนคำตอบของคนกลุ่มที่บอกว่าอย่าไปเลยมันเสี่ยงที่เก่านะดีอยู่แล้ว คนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นพวกที่อยู่มานานไม่ค่อยเปลี่ยนงานและไม่คิดจะเปลี่ยนงานแน่ๆ ยิ่งเราถามคนอื่นมากเท่าไหร่ เราจะได้คำตอบจากสมมติฐานและพื้นฐานชีวิตแต่ละคนมากยิ่งขึ้น เพราะคำตอบที่ได้เขาเอาเหตุการณ์ของชีวิตเราไปตัดสินบนพื้นฐานของประสบการณ์ ความรู้สึกและทัศนคติความเชื่อของตัวเขาเอง

เมื่อไหร่ที่เราตัดสินใจโดยให้ทุกอย่างเกิดขึ้นในหัวและในใจรับรองได้ว่าเราจะตัดสินใจโดยใช้ความรู้สึกมากกว่าข้อมูลข้อเท็จจริงหรือเหตุผล เพราะการตัดสินใจในแต่ละนาทีที่เกิดขึ้นในใจเรามันจะเกิดขึ้นทีละประเด็น มันไม่ได้มีการเปรียบเทียบข้อมูลของงานเก่าและงานใหม่ทั้งหมดพร้อมกัน จุดนี้คื่อหลุมพรางของการตัดสินใจที่ลึกและน่ากลัวมากสำหรับคนที่กำลังคิดที่จะตัดสินใจเปลี่ยนงาน

ดังนั้น สิ่งที่อยากจะแนะนำสำหรับคนที่ตกอยู่ในช่วงเวลาของความลังเลใจ ผมคิดว่าควรจะปฏิบัติดังนี้

• เลิกคิดเรื่องนี้สักหนึ่งหรือสองวันให้จิตใจที่กำลังสับสนวุ่นวายได้พักผ่อนเพื่อกลับมาสู่สถานะจิตใจที่ปกติ

• หลังจากพักคิดเรื่องนี้ไปแล้ว ให้นำกระดาษขึ้นมา 2 แผ่นวางด้านซ้ายมือหนึ่งแผ่นและอีกแผ่นหนึ่งวางไว้ด้านขวา

• ให้หยิบกระดาษแผ่นแรกขึ้นมาเขียนถึงข้อดีและข้อเสียของงานปัจจุบันโดยไล่ไปทีละข้อ เช่น เงินเดือน ปริมาณงาน โอกาสก้าวหน้า สถานที่ทำงานกับบ้าน เพื่อนร่วมงาน สวัสดิการ ฯลฯ โดยให้แบ่งกระดาษแผ่นนี้ออกเป็นสองส่วนโดยส่วนแรกเขียนถึงสถานะปัจจุบัน ส่วนที่สองให้เขียนความเป็นไปได้อีก 5 ปีข้างหน้า เช่น ปัจจุบันเงินเดือน 20,000 บาท อีก 5 ปีข้างหน้าเงินเดือนน่าจะประมาณ 30,000 บาท เมื่อเขียนเสร็จแล้วให้วางกระดาษแผ่นนี้ไว้ที่เดิมโดยคว่ำไว้ เลิกสนใจกระดาษแผ่นนี้ไว้สักครู่หนึ่งก่อน และเดินไปดื่มน้ำหรือเดินเล่นสักพักหนึ่งแล้วค่อยกลับมา

• หยิบกระดาษแผ่นที่สองขึ้นมาแล้วแบ่งออกเป็นสองส่วนเหมือนกันส่วนแรกคือสิ่งที่บริษัทใหม่เสนอให้เรา และส่วนที่สองคืออนาคตของงานในที่ใหม่อีก 5 ปีข้างหน้า แล้วเขียนหัวข้อที่เหมือนกับแผ่นแรก เช่น เงินเดือน สวัสดิการ ฯลฯ พยายามเขียนข้อมูลให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ข้อมูลไหนไม่รู้ไม่แน่ใจ ทำเครื่องหมาย ? ไว้

• เมื่อเขียนข้อมูลของกระดาษทั้งสองแผ่นแล้วให้นำเอาข้อมูลในกระดาษทั้งสองแผ่นมาเปรียบเทียบกันว่าโดยภาพรวมแล้วใจเราไปทางไหนมากกว่ากัน

• เอากระดาษสองแผ่นนี้ติดตัวไปตลอดเวลาไม่ว่าจะไปไหนรวมถึงถ่ายสำเนาแปะไว้ที่ฝาห้องนอนด้วยยิ่งดี ดูและคิดตัดสินใจทุกวันก่อนนอน จนกว่ากระดาษแผ่นใดแผ่นหนึ่งจะเข้ามาอยู่ในใจเราติดต่อกันเกิน 3 วันถือว่าสิ้นสุดการตัดสินใจ

เมื่อตัดสินใจเลือกงานใดงานหนึ่งแล้วไม่ว่าจะเป็นงานเก่าหรืองานใหม่ให้ซ้อมเสียดายงานที่เราไม่เลือก เช่น ถ้าเราเลือกงานใหม่ เราคิดว่าเมื่อเราออกไปแล้วเราน่าจะรู้สึกเสียดายอะไรบ้างจากงานปัจจุบัน ในทางกลับกันถ้าเราเลือกที่จะทำงานอยู่ทีเดิม เมื่อเวลาผ่านไปในอนาคตเราคิดว่าเราจะรู้สึกเสียดายอะไรจากงานใหม่ที่เราไม่เลือก แล้วลองชั่งน้ำหนักดูว่าความเสียดายด้านไหนมีผลกระทบต่อจิตใจเรารุนแรงกว่ากันหรือความเสียดายอันไหนที่เราคิดว่าเรารับได้

• ขั้นตอนสุดท้ายคือการตัดสินใจว่าจะเลือกที่จะทำงานต่อกับที่ทำงานเดิมหรือเลือกที่จะลาออกไปทำงานที่ใหม่

• เมื่อเลือกงานใดงานหนึ่งแล้ว กรุณาฉีกกระดาษแผ่นทีไม่เลือกทิ้งไปและพยายามลืมมันให้เร็วที่สุด มิฉะนั้น มันจะตามมาหลอกหลอกเราเวลาเราเจออุปสรรคจากงานที่เราเลือก เช่น เลือกงานเดิม ถ้าเรายังมีเยื่อใยกับงานใหม่ วันไหนหัวหน้า(คนเดิม)ด่า วันนั้นวิญญาณชั่วร้ายของงานใหม่จะเข้าสิงเราทันที "ไม่น่าเลย รู้ยังงี้ลาออกไปทำงานที่ใหม่ก็ดี"

กติกาข้อสุดท้ายที่คนที่กำลังตัดสินใจเปลี่ยนงานควรจำไว้คือ "ไม่มีการตัดสินใจครั้งไหนผิดพลาด" เพราะการตัดสินใจของคนไม่มีคำตอบที่ถูกผิดโดยเฉพาะการเปลี่ยนงาน เพียงแต่การตัดสินใจในแต่ละครั้งนั้นรอบคอบหรือไม่รอบคอบเท่านั้น การตัดสินใจแต่ละครั้งเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมเท่านั้น ดังนั้น ไม่ว่าเราจะตัดสินใจแบบไหนรับรองว่าไม่ผิด เพราะเมื่อไหร่ที่เราเชื่อว่าการตัดสินใจทุกครั้งจะมีผิดกับถูก เราจะรู้สึกกังวลกับผลของการตัดสินใจและมันเป็นแผลในใจไปตลอดชีวิต

ที่มา http://www.peoplevalue.co.th



ขอบคุณมากๆค่ะ เราอ่านทุกตัวหนังสือและเข้าใจในสิ่งที่คุณพยายามบอก จะทำตามนะคะ ขอบคุณอีกครั้งที่เอาบทความนี้มาให้อ่าน

#12 krissarakorn

krissarakorn

    Supreme Member

  • Power Members
  • PipPipPipPip
  • 255 posts
  • Gender:Male
  • Location:Chonburi

Posted 15 August 2018 - 11:42 AM

ในชีวิตการทำงานของผม ผมเปลี่ยนงานมา 10 กว่าครั้ง

บางที่อยู่แค่ไม่ถึงสัปดาห์ ตอนนี้อยู่ที่ปัจจุบันนานกว่า 7 ปีแล้ว 

 

ผมได้บทสรุปของตัวเองว่า เราจะอยู่ได้โดยไม่ต้องย้ายไปไหน 

ถ้า เพื่อร่วมงานเป็นกันเอง บรรยากาศในการทำงานดี มีเจ้านายรู้ใจกัน

สิ่งแวดล้อมในการทำงานน่าอยู่ ที่เหลือก็เรื่องผลตอบแทน 

 

หากผลตอบแทนสูงแต่กดดันทุกอย่าง ทำไปสักพักก็ทนไม่ไหว 

เอาที่ที่ผลตอบแทนพอรับได้พอมีเงินเหลือบ้างก็พอใจแล้ว 

 

ที่เหลือเป็นเรื่องของอนาคตว่าเราจะทำอะไรได้บ้างเพื่อให้

บริษัทที่เราอยู่เกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างที่เราอยากให้เป็น 

(พูดกล่อมเจ้านายบ่อยๆ ทางตรงบ้าง ทางอ้อมบ้าง หาทีมงานเสนอร่วมกันบ้าง)

ผลตอบแทนและสวัสดิการต่างๆก็ค่อยๆเปลี่ยนไปตามที่ควรจะเป็น  


Krissarakorn..


#13 Lady-SIRI

Lady-SIRI

    New Member

  • Members
  • Pip
  • 16 posts
  • Gender:Female

Posted 15 August 2018 - 11:24 PM

ในชีวิตการทำงานของผม ผมเปลี่ยนงานมา 10 กว่าครั้ง
บางที่อยู่แค่ไม่ถึงสัปดาห์ ตอนนี้อยู่ที่ปัจจุบันนานกว่า 7 ปีแล้ว

ผมได้บทสรุปของตัวเองว่า เราจะอยู่ได้โดยไม่ต้องย้ายไปไหน
ถ้า เพื่อร่วมงานเป็นกันเอง บรรยากาศในการทำงานดี มีเจ้านายรู้ใจกัน
สิ่งแวดล้อมในการทำงานน่าอยู่ ที่เหลือก็เรื่องผลตอบแทน

หากผลตอบแทนสูงแต่กดดันทุกอย่าง ทำไปสักพักก็ทนไม่ไหว
เอาที่ที่ผลตอบแทนพอรับได้พอมีเงินเหลือบ้างก็พอใจแล้ว

ที่เหลือเป็นเรื่องของอนาคตว่าเราจะทำอะไรได้บ้างเพื่อให้
บริษัทที่เราอยู่เกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างที่เราอยากให้เป็น
(พูดกล่อมเจ้านายบ่อยๆ ทางตรงบ้าง ทางอ้อมบ้าง หาทีมงานเสนอร่วมกันบ้าง)
ผลตอบแทนและสวัสดิการต่างๆก็ค่อยๆเปลี่ยนไปตามที่ควรจะเป็น


ที่อยู่มา 5 ปีกว่า ก็เพราะเหตุผลเดียวกับคุณเลยค่ะ แต่ ณ วันนี้ หัวเยอะหางน้อย บ. มีพนักงาน 60 กว่าคน เเต่ออฟฟิซก็ 20 คนเข้าไปแล้ว มีเเนวโน้มจะรับคนมาทำออฟฟิซเพิ่มอีก ตามคำเเนะนำอยากได้คนมาดูตรงนั้น ตรงนี้เพิ่มของพนักงานรุ่นบุกเบิก พอคนเยอะสวัสดิการก็น้อยลง เพราะเอาไปเฉลี่ยๆกัน ถ้าเจ้านายคนนี้ออก ก็ไม่รู้จะหมู่หรือจ่าเลยค่ะ เเกก็พูดเรื่องเกษียรตัวเองบ่อย มองอนาคตไม่ออกเลยค่ะ เลยมองหางานใหม่ด้วยเหตุผลหลายอย่างประกอบกัน แต่ก็มีเสียดายที่มันใกล้บ้าน เเละนายคนนี้ก็ใจดีเลยผูกพันธ์กัน จนคิดเยอะนี่เเหละค่ะ

#14 monrudeenimit

monrudeenimit

    Hornor Member

  • Super Power Members
  • PipPipPipPipPip
  • 546 posts

Posted 20 August 2018 - 10:25 AM

ถ้าเป็นตัวเองจะเลือกที่ความท้าทาย และความก้าวหน้าในชีวิตค่ะ ทั้งนี้ก็ต้องดูองค์ประกอบหลายๆ อย่างที่จะทำให้ชีวิตสมบูรณ์ขึ้นด้วยค่ะ เช่น มีครอบครัว มีลูกหรือยัง การให้เวลากับลูกก็สำคัญ
อย่างที่คุณ Suppadej ได้กล่าวไว้ การตัดสินใจขึ้นอยู่กับตัวคุณเอง ตัวเองรู้ดีที่สุดว่าจะไปต่อหรือไม่

สรุปอย่างไร และมีเหตุผลอย่างไร อย่าลืมมาบอกกล่าวให้ฟังบ้าง สู้ๆ ขอให้เลือกถูกนะคะ

#15 phornchai-aoy

phornchai-aoy

    New Member

  • Members
  • Pip
  • 26 posts
  • Gender:Male
  • Location:Nikom Amata Nakorn
  • Interests:Quality Assurance

Posted 20 August 2018 - 10:37 AM

:lol2: ถามใจตัวเองดูครับ ถ้ายังมีความสุขกับที่เดิม ก็อยู่ต่อไปครับ แต่ถ้าอยู่ไปวันๆ เมื่อไหร่จะถึง 5 โมงเย็นสักที ก็ลองไปที่ใหม่ดูครับ

ส่วนใหญ่ที่ทำงานมีปัญหาทุกที่ครับ อยู่ที่เราจะเรามือจากสถานการณ์นั้นได้ไหม ลองชั่งน้ำหนักดูนะครับ ใช้ใจดีกว่าเหตุผลนะครับสำหรับผมนะครับ



#16 Lady-SIRI

Lady-SIRI

    New Member

  • Members
  • Pip
  • 16 posts
  • Gender:Female

Posted 30 August 2018 - 10:37 AM

ขอบคุณสำหรับคำแนะนำทุกคนนะคะ   เราตัดสินใจแล้วค่ะว่าจะไปที่ใหม่เซ็นต์สัญญาแล้วค่ะ  เราถามใจตัวเองดูแล้วว่าอยากอยู่หรือไป  

เมื่อยื่นลาออก  ที่เดิมก็ไม่ได้รั้งหรือเสนอเงินเพิ่มเพราะ นโยบายที่เดิมเขาไม่ค่อยให้ค่าเเรงสูง (28,000 นี่สูงแล้วนะคะ คนที่อยู่มา 8 ปีก็ได้เท่านี้ ไม่มีใครสูงกว่านี้ ) 

เขาเน้นจ้างคนใหม่ที่ค่าเเรงถูกกว่าแล้วสอนงานเอา  พอเราเเจ้งเงินเดือนที่ใหม่ เขาก็เงียบไปและคุยเรื่องเอาน้องคนอื่นมาฝึกงาน DCC   

มันก็ทำให้เราตัดสินใจง่ายขึ้น ไม่ลำบากใจ  โล่งดีเหมือนกันค่ะ    ตัดสินใจแล้วค่ะ 

 

ไม่ว่าที่ใหม่ดีกว่าที่เดิมจริงๆ  หรืออาจะเเย่ กว่าที่เดิม  เราจะไม่คิดว่ามันคือการตัดสินใจที่ผิดพลาด เพราะกว่าที่เราจะตัดสินใจได้ เราได้ใช้ทั้งเหตุผลและใจคิดอย่างดีที่สุดแล้ว 

 

 

ไว้จะมาอัพเดทชีวิตในที่ทำงานใหม่นะคะ  

ขอบคุณทุกคนมากค่ะ  



#17 stl6132

stl6132

    Premium Member

  • Power Members
  • PipPipPip
  • 60 posts

Posted 27 September 2018 - 08:27 AM

 1. ถ้าคิดเรื่องเงินเดือน ต้องทำงานที่บริษัท A อีก 5 ปี (คิดที่ปรับเงินเดือนสูงสุด 1000 บาท) ถึงจะได้เท่าบริษัท B ( ถ้าเรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา )

 2. เลือกบริษัท B เพราะ 

    2.1 บริษัท A ผู้บริหารอายุ 57 แล้วไม่รู้จะเกษียรเมื่อไหร่ ถ้าเกษียรเมียมาดูแทนน่า บ. น่าไปไม่รอด >>> ถ้าไม่รอดเราก็ตกงานและเสียโกาศกับบริษัท B ( ถ้าอายุไม่มากก็ทำ A ไปก่อน ภายใน 3 ปี ก็หาบริษัทที่ดีๆไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเจอ)

    2.2  บริษัท Aเพื่อนร่วมงาน เราต้องตามปากเปียกปากเเฉะ ไม่ค่อยจะอยากทำตามระบบ ต้องจี้เวลาตามงาน บางงานตามเป็นเดือน 2 เดือน 

    2.2 บริษัท A เพื่อนร่วมงานรุ่นบุกเบิกจะเจ้ากี้เจ้าการชอบไปเสนอนั่นนี่กะผู้บริหารให้ทำนั่นนี่ เพิ่มงานภาระคนอื่น เเล้วผู้บริหารก็เห็นด้วยซะงั้น

3.ถ้าที่เก่าดีจะออกทำไม 






0 user(s) are reading this topic

0 members, 0 guests, 0 anonymous users