รับเป็นที่ปรึกษาระบบ GMP ในอุตสาหกรรมที่มีความมุ่งมั่นที่จะทำค่ะ
เจรจาง่าย ดูแลท่านแบบครอบครัว ไม่มีกั๊กค่ะ
หากบริษัทใดสนใจ รบกวนติดต่อที่ 08 4070 4005 ค่ะ
ข้าพเจ้ามีความยินดีส่งประวัติส่วนตัว และรายละเอียดต่างๆ ให้ทันทีค่ะ
ท่านที่สมัครสมาชิกเข้ามาใหม่ กรุณารอให้ Admin ได้ทำการ Validate การเป็นสมาชิก ภายใน 24 ชม.ของวันทำการ ซึ่งระหว่างที่รอ Validation ท่านอาจจะยังไม่สามารถดาวน์โหลดข้อมูลต่างๆ ได้ หากไม่ได้รับความสะดวก กรุณาอีเมลแจ้ง isothainetwork@hotmail.com
รับเป็นที่ปรึกษาระบบ GMP
Started by
ka_pream
, May 03 2010 09:11 AM
7 replies to this topic
#1
Posted 03 May 2010 - 09:11 AM
#2
Posted 08 May 2010 - 08:36 AM
แงๆๆๆ
โพสต์มาตั้งนานแล้ว
มีคนเข้ามาตั้งเกือบ 40 คนแว้ว
ไม่มีใครสนใจสักคนเลยหรอคะ
พี่ๆสมาชิกช่วยพรีมด้วย
น้อยใจอ่ะ
โพสต์มาตั้งนานแล้ว
มีคนเข้ามาตั้งเกือบ 40 คนแว้ว
ไม่มีใครสนใจสักคนเลยหรอคะ
พี่ๆสมาชิกช่วยพรีมด้วย
น้อยใจอ่ะ
#3
Posted 08 May 2010 - 09:00 AM
ไม่ต้องน้อยใจไปครับ ถ้ามีใครสนใจเดี๋ยวเขาก็ติดต่อไปเอง
ลองเข้ามาตอบกระทู้มาแบ่งปันความรู้บ่อยๆครับ ให้สมาชิกได้เห็นลีลาการนำเสนอต่างๆก่อนนะ
(เป็นผู้ให้ก่อน แล้วค่อยเป็นผู้รับครับ)
ขอให้สมปรารถนาไวๆครับ
ลองเข้ามาตอบกระทู้มาแบ่งปันความรู้บ่อยๆครับ ให้สมาชิกได้เห็นลีลาการนำเสนอต่างๆก่อนนะ
(เป็นผู้ให้ก่อน แล้วค่อยเป็นผู้รับครับ)
ขอให้สมปรารถนาไวๆครับ
Oooo
#4
Posted 08 May 2010 - 09:45 AM
QUOTE(Kreetha @ May 8 2010, 09:00 AM) <{POST_SNAPBACK}>
ไม่ต้องน้อยใจไปครับ ถ้ามีใครสนใจเดี๋ยวเขาก็ติดต่อไปเอง
ลองเข้ามาตอบกระทู้มาแบ่งปันความรู้บ่อยๆครับ ให้สมาชิกได้เห็นลีลาการนำเสนอต่างๆก่อนนะ
(เป็นผู้ให้ก่อน แล้วค่อยเป็นผู้รับครับ)
ขอให้สมปรารถนาไวๆครับ
ลองเข้ามาตอบกระทู้มาแบ่งปันความรู้บ่อยๆครับ ให้สมาชิกได้เห็นลีลาการนำเสนอต่างๆก่อนนะ
(เป็นผู้ให้ก่อน แล้วค่อยเป็นผู้รับครับ)
ขอให้สมปรารถนาไวๆครับ
พรีมขอกราบขอบพระคุณมากนะคะ
มีกำลังใจขึ้นเป็นกองเลยค่ะ
#5
Posted 08 May 2010 - 10:02 AM
เล่าให้ฟังคร่าวๆ ตามคำแนะนำค่ะ
คือจริงๆแล้ว ตอนนี้พรีมเป็น QMR อยู่ที่โรงพิมพ์แห่งหนึ่งค่ะ
พรีมเข้ามาวางระบบ GMP ที่นี่เป็นงานประจำ
โดยตามแผนการจัดทำระบบนั้น
จะได้รับการรับรองระบบในสิ้นเดือนกันยายน 2010 ค่ะ
จึงจะเป็นการปิด Job ได้สำเร็จ
พรีมมีจุดอ่อนก็คืออายุแค่ 18 ปีค่ะ
แต่จุดอ่อนอันนี้นี่เองที่เป็นแรงกำลังให้พรีมในการที่จะศึกาข้อมูล
และเอามาปฏิบัติจริง
ทำให้เข้มข้นและซึมซับได้มากว่าการเรียนในโรงเรียนเลยค่ะ
นับว่าเป็นการขอโอกาสดีๆ จากผู้เมตตาค่ะ
อิอิ
หากว่าในระหว่างเวลาดังกล่าว
มีองค์กรที่สนใจ พรีมจะเข้ามาดูแลได้
ในวันเสาร์ช่วงบ่ายเท่านั้นค่ะ
แต่มั่นใจว่าจะใช้เวลาที่มีให้กับองค์กร
ให้เกิดประโยชน์สูงสุดค่ะ
พรีมวางแผนไว้ว่าถ้าเข้าเป็นที่ปรึกษาที่องค์กรใดก็ตาม
พรีมจะให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด และจะคอยติดตามผล และแก้ไข
ให้ระบบเกิดประสิทธิภาพสูงสุดค่ะ หรือหากว่าต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติม
เกี่ยวกับพรีมก่อน ก็ทิ้งเมล์ของท่านไว้เพื่อพรีมจะส่งเป็นเรซูเม่ให้
หรือส่งเมล์มาซักถามพูดคุยกันได้ที่ preamtr@hotmail.com ค่ะ
ยินดีต้อนรับทุกท่านค่ะ
และขอบพระคุณพี่ๆ สมาชิกทุกคนมากๆค่ะ
ที่ให้โอกาส และให้คำแนะนำน้องใหม่อย่างพรีม
คือจริงๆแล้ว ตอนนี้พรีมเป็น QMR อยู่ที่โรงพิมพ์แห่งหนึ่งค่ะ
พรีมเข้ามาวางระบบ GMP ที่นี่เป็นงานประจำ
โดยตามแผนการจัดทำระบบนั้น
จะได้รับการรับรองระบบในสิ้นเดือนกันยายน 2010 ค่ะ
จึงจะเป็นการปิด Job ได้สำเร็จ
พรีมมีจุดอ่อนก็คืออายุแค่ 18 ปีค่ะ
แต่จุดอ่อนอันนี้นี่เองที่เป็นแรงกำลังให้พรีมในการที่จะศึกาข้อมูล
และเอามาปฏิบัติจริง
ทำให้เข้มข้นและซึมซับได้มากว่าการเรียนในโรงเรียนเลยค่ะ
นับว่าเป็นการขอโอกาสดีๆ จากผู้เมตตาค่ะ
อิอิ
หากว่าในระหว่างเวลาดังกล่าว
มีองค์กรที่สนใจ พรีมจะเข้ามาดูแลได้
ในวันเสาร์ช่วงบ่ายเท่านั้นค่ะ
แต่มั่นใจว่าจะใช้เวลาที่มีให้กับองค์กร
ให้เกิดประโยชน์สูงสุดค่ะ
พรีมวางแผนไว้ว่าถ้าเข้าเป็นที่ปรึกษาที่องค์กรใดก็ตาม
พรีมจะให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด และจะคอยติดตามผล และแก้ไข
ให้ระบบเกิดประสิทธิภาพสูงสุดค่ะ หรือหากว่าต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติม
เกี่ยวกับพรีมก่อน ก็ทิ้งเมล์ของท่านไว้เพื่อพรีมจะส่งเป็นเรซูเม่ให้
หรือส่งเมล์มาซักถามพูดคุยกันได้ที่ preamtr@hotmail.com ค่ะ
ยินดีต้อนรับทุกท่านค่ะ
และขอบพระคุณพี่ๆ สมาชิกทุกคนมากๆค่ะ
ที่ให้โอกาส และให้คำแนะนำน้องใหม่อย่างพรีม
#6
Posted 08 May 2010 - 10:10 AM
เป็นกำลังใจให้นะจ้า
ถ้าคิดว่าอายุเป็นจุดออ่น
ลองอ่านประวัติของครูพี่แนนดูนะจ้า เผื่อเป็นแรงใจให้ได้จ้า
"ครูพี่แนน" ติวเตอร์ผู้ไม่มีสูตรสำเร็จ
สาวคนนี้บอกกับเราว่าชีวิตของเธอไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว แต่ก็เป็นเธอ ที่เอนทรานซ์ติดคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาปี 4 และก็เป็นเธออีกเช่นกันที่คว้าปริญญาตรีเกียรตินิยมอันดับ 1 เหรียญทองมาครองได้ตั้งแต่อายุ 19 ปี เท่านั้นยังไม่พอ ปัจจุบัน เธอยังมีตำแหน่งเป็นถึงรองผู้อำนวยการและหัวหน้าทีมผู้สอนภาษาอังกฤษของสถาบัน Enconcept E-Academy
ผู้คิดค้นเทคนิคการเรียนภาษาอังกฤษแนวใหม่หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น Memolody (การใช้เพลงช่วยจำคำศัพท์และไวยากรณ์) Strategic Structure (โครงสร้างเชิงกลยุทธ์) และ Tree Tactics (วิธีการเรียนรู้โครงสร้างประโยคอย่างเป็นระบบโดยใช้ภาพต้นไม้เป็นสื่อ) เธอคนนี้ก็คือ "อริสรา ธนาปกิจ" หรือ "ครูพี่แนน" ที่เด็กรุ่นใหม่หลายคนรู้จักกันเป็นอย่างดีนั่นเอง
จำนวนสาขาที่มีอยู่ถึง 28 แห่งทั่วประเทศของโรงเรียนสอนภาษา Enconcept ที่เธอกับทีมงานร่วมกันปลุกปั้นมากับมืออาจกล่าวได้ว่าเป็นการเติบโตที่ยิ่งใหญ่ แต่หากให้ย้อนไปถึงจุดเริ่มต้น ครูพี่แนนเล่าว่า เธอเกือบจะปิดโรงเรียนไปขายก๋วยเตี๋ยวเสียแล้ว
"ช่วงแรก ๆ เป็นตึกแถวสองคูหามีเด็กเรียนรวมกันทั้งหมดประมาณ 60 กว่าคนเองค่ะ ตกแล้วห้องหนึ่งมีเด็กเรียนประมาณ 6 - 7 คน วันไหนฝนตก ติดสอบมิดเทอม เด็กก็จะหายไปอีก มีบางวันห้องเรียนว่างเปล่า ไม่มีเด็กมาเลยสักคน ตอนนั้นเราคิดหนักมากว่าเราต้องทำอย่างไรเพื่อให้เราก้าวข้ามสถานการณ์เหล่านี้ไปได้ นั่นคือที่มาของ 3 Fs แก่นสำคัญของที่นี่ ซึ่งได้แก่ Firm Foundation, Fun และ Friendship การเรียนของเรา วิชาการต้องแน่น เมื่อเด็กมาเรียนต้องสบายใจได้ว่า เขาจะมีความรู้มากขึ้น พร้อมสำหรับการสอบมากขึ้น ข้อต่อมา ต้องเรียนแล้วสนุก และข้อสุดท้ายคือ เฟรนด์ชิป ต้องมีการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างครูกับเด็ก ที่นี่เราเลือกใช้กิจกรรมเป็นตัวสร้างสีสัน เชื่อมความสัมพันธ์ ยกตัวอย่างเช่น ในช่วงสงกรานต์เราก็จะพาเด็ก ๆ ไปเผยแพร่วัฒนธรรมการเล่นน้ำสงกรานต์ที่ถูกต้องบริเวณถนนข้าวสาร เป็นต้น"
ไม่เพียงแต่ยึดหลัก 3 Fs แต่ห้องเรียนของที่นี่ยังเต็มไปด้วยนวัตกรรมด้านการเรียนการสอนใหม่ ๆ อีกมากมาย ล่าสุด มีการเปิดตัว S.E.L.F. หรือโปรแกรมเสริมแกร่งด้านการเรียนภาษาที่เรียกได้ว่า ไม่เหมือนใครในโลก
"พฤติกรรมการเรียนของเด็กไทยส่วนมากจะเป็นผู้รับ ทำให้เขารับได้เท่าที่ผู้สอนพยายามจะป้อนเท่านั้น นั่นจึงเป็นที่มาของโปรแกรม S.E.L.F. เพราะเราต้องการเปลี่ยนพฤติกรรมในจุดนี้ S.E.L.F. จะเป็นแหล่งที่เด็กสามารถเพาะความรู้ได้แบบไม่จำกัดบนแนวคิดพื้นฐานว่า Yourself Your success ปัจจุบัน เรามีฐานคำศัพท์อยู่กว่า 400,000 คำบนโปรแกรมดังกล่าว มีคลังข้อสอบ มีเครื่องมือช่วยอ่าน มีตะกร้าเก็บคำศัพท์ เด็กสามารถเช็คคะแนนตัวเองเปรียบเทียบกับเด็กทั่วประเทศ และยังต่อยอดพัฒนาได้อีกเยอะมากค่ะ ยกตัวอย่างเช่นโปรแกรมฝึกการฟัง - การพูด ซึ่งจะเปิดตัวในเฟสต่อไป เด็กสามารถฝึกฟังสำเนียงการพูดภาษาอังกฤษของคนหลายเชื้อชาติ ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และเด็กสามารถบันทึกเสียงตัวเองมาเทียบกับเสียงของเจ้าของภาษาได้ด้วย เลยเชื่อว่า S.E.L.F. จะช่วยพัฒนาทักษะด้านภาษาอังกฤษให้กับเด็กที่มาเรียนได้อีกมากค่ะ"
แนวคิดที่แปลกแหวกแนวไม่เหมือนใคร และความน่ารักสดใส เป็นกันเองถือเป็นจุดเด่นของครูพี่แนน แต่เมื่อย้อนถามถึงเส้นทาง กว่าจะก้าวมาถึง ณ จุดนี้ เธอบอกว่า ไม่มีสูตรสำเร็จ หรือการวางแผนที่ตายตัวแต่อย่างใด เพียงแต่เธอมีโอกาสทำงานในหลาย ๆ บทบาท จึงทำให้ค้นหาตัวตนที่แท้จริงพบว่า รักจะเป็นอะไร
"ตอนเด็ก ๆ พี่ฝันอยากเป็นล่ามมาก ประจวบเหมาะกับเอนต์ติดอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ด้วย ก็ยิ่งรู้สึกว่าใช่เลย แต่พอลองไปเป็นล่ามดู (ครูพี่แนนเคยเป็นล่ามภาษาสเปน - อังกฤษให้กับยูเนสโก) ก็พบว่าไม่ใช่งานที่เราชอบ ทำไมเราต้องพูดในสิ่งที่คนอื่นบอกด้วย พี่เลยเปลี่ยนแนว ไปลงเรียนคอร์สทางด้านการตลาดแทน (บริหารธุรกิจ สาขาพฤติกรรมองค์กรและการตลาด, ศศินทร์) ตอนนั้นไม่ได้คิดว่าจะมีบริษัทเป็นของตัวเองเลยนะคะ แต่ชอบฟิลิปส์ คอตเลอร์ ก็เลยไปลงเรียน ต่อมา พี่สมัครเข้าทำงานที่ยูนิลิเวอร์ (ตำแหน่ง Category Analyst) ค่ะ ช่วงนั้น จะเรียกว่าเป็นช่วงที่เหนื่อยมากก็ว่าได้ เพราะในยูนิลิเวอร์มีแต่คนเก่ง ๆ ทุ่มเททำงานกันทั้งนั้น แถมตอนเย็น - เสาร์อาทิตย์ พี่ก็เปิดโรงเรียนสอนภาษาแล้ว เรียกได้ว่า 7 วันนี่ทำงานตลอด ไม่มีเวลาพักเลย"
เมื่อเหนื่อยมากจนถึงขีดสุด เธอจึงหาโอกาสหยุดพักและถามตัวเองว่า จริง ๆ แล้วสิ่งที่หัวใจต้องการนั้นคืออะไร
"เข้าใจได้ว่า ความสำเร็จไม่ได้เกิดจากการที่เราประสบความสำเร็จในทุกด้านในชีวิต หรือการที่เราได้ทุกอย่างมาครอบครอง มันอยู่ที่เรามีสมดุลในชีวิตหรือเปล่า ตอนเป็นครู พี่รู้สึกมีความสุขที่ได้ทำประโยชน์ให้สังคม แม้ว่าจะเป็นบทบาทเล็ก ๆ แต่เราได้เห็นแววตาที่มุ่งมั่นของเด็ก ๆ เลยคิดว่าเลือกอาชีพนี้น่าจะถูกแล้ว และถ้าเด็กยังไม่เบื่อเรา ก็คงจะทำไปเรื่อย ๆ ค่ะ ซึ่งกว่าจะเป็นได้อย่างทุกวันนี้มันต้องใช้เวลาในการบ่มเพาะ เพราะในยุคนั้น คนที่จะเปิดโรงเรียนสอนภาษาได้ต้องเป็นครูจากโรงเรียนชื่อดัง แต่นี่เราเริ่มจากศูนย์ ไม่มีใครรู้จักเราเลย จนมาถึงทุกวันนี้เรามี 28 สาขา มีสื่อการสอนที่หลากหลาย มีดีวีดี มีดาวเทียม ก็ถือว่าน่าพอใจค่ะ"
แต่การยอมรับ และพอใจในหน้าที่การงาน รวมถึงแนวคิด "ทำในสิ่งที่รักให้ดีที่สุด" อาจยังไม่เพียงพอ ทุกวันนี้ ครูพี่แนนยังศึกษาธรรมะเพิ่มเติม เพื่อให้เข้าใจถึงความสุขจากภายในด้วย
"เริ่มจริง ๆ มาประมาณ 6 ปีแล้วค่ะ สาเหตุที่สนใจคือ เรามีคำถามกับตัวเองตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วว่า เกิดมาทำไม เพื่อเรียนให้ดีที่สุด เข้ามหาวิทยาลัยที่ดีที่สุด ทำงานให้ประสบความสำเร็จสูงสุด มีครอบครัวที่ดีที่สุดอย่างนั้นหรือ แต่ไม่เคยคิดจะสนใจหาคำตอบด้วยพุทธศาสนา เพราะเราเคยรู้สึกว่าการเรียนพุทธศาสนาเป็นการเรียนแบบท่องจำ จนวันหนึ่งพี่ไปเจอหนังสือเล่มหนึ่งเข้า ตั้งชื่อโดนใจมากว่า เกิดมาทำไม ของท่านพุทธทาสภิกขุ หนังสือเล่มนั้นให้คำตอบว่า คนเราเกิดมาเพื่อให้ไปถึงนิพพาน ทำให้พี่มาศึกษาเพิ่มว่า นิพพานคืออะไร จากนั้นก็ศึกษาธรรมะเรื่อยมาค่ะ"
ข้อดีที่เกิดกับตัวเองหลังจากได้ศึกษาธรรมะของครูพี่แนนก็คือ "เราได้เข้าใจตัวเราเองมากขึ้น เข้าใจสิ่งรอบข้างมากขึ้น รู้สึกว่าทุกข์น้อยลง กิเลสน้อยลง จากเมื่อก่อนทุกอย่างต้องสมบูรณ์ จะรับไม่ได้กับข้อผิดพลาด เมื่อศึกษาธรรมะก็เริ่มยอมรับได้ และเข้าใจมากขึ้นว่าทุกคนทำดีที่สุดแล้ว อีกอย่างคือ การทำประโยชน์ให้กับสังคม ถ้าไม่มีเราก็ยังมีคนอื่นทำได้ แต่การทำให้ประโยชน์ให้กับตัวเอง เราต้องเป็นคนทำด้วยตัวเอง ซึ่งก็คือต้องทำให้ความทุกข์น้อยลงเรื่อย ๆ เพื่อเป้าหมายสุดท้ายคือการพ้นทุกข์ค่ะ"
ประวัติ
ผลงาน
- ผู้คิดค้นเทคนิคการเรียนภาษาอังกฤษแนวใหม่หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น Memolody (การใช้เพลงช่วยจำคำศัพท์และไวยากรณ์) Strategic Structure (โครงสร้างเชิงกลยุทธ์) และ Tree Tactics (วิธีการเรียนรู้โครงสร้างประโยคอย่างเป็นระบบโดยใช้ภาพต้นไม้เป็นสื่อ)
เกียรตินิยมและรางวัล
- เกียรตินิยมอันดับหนึ่งเหรียญทอง คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่ออายุ 19 ปี
- ชนะเลิศการประกวดสุนทรพจน์ระหว่างมหาวิทยาลัย จัดโดย AUA
- คะแนนสูงสุดของประเทศไทยในการสอบ Pre ม.ต้น สายศิลป์คำนวณ จัดโดยชมรมบัณฑิตแนะแนว
การศึกษา
- ปริญญาโทบริหารธุรกิจ ศศินทร์
- ปริญญาตรี อักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ข้อมูลจาก http://blog.spu.ac.t...8/05/09/entry-5
ถ้าคิดว่าอายุเป็นจุดออ่น
ลองอ่านประวัติของครูพี่แนนดูนะจ้า เผื่อเป็นแรงใจให้ได้จ้า
"ครูพี่แนน" ติวเตอร์ผู้ไม่มีสูตรสำเร็จ
สาวคนนี้บอกกับเราว่าชีวิตของเธอไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว แต่ก็เป็นเธอ ที่เอนทรานซ์ติดคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาปี 4 และก็เป็นเธออีกเช่นกันที่คว้าปริญญาตรีเกียรตินิยมอันดับ 1 เหรียญทองมาครองได้ตั้งแต่อายุ 19 ปี เท่านั้นยังไม่พอ ปัจจุบัน เธอยังมีตำแหน่งเป็นถึงรองผู้อำนวยการและหัวหน้าทีมผู้สอนภาษาอังกฤษของสถาบัน Enconcept E-Academy
ผู้คิดค้นเทคนิคการเรียนภาษาอังกฤษแนวใหม่หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น Memolody (การใช้เพลงช่วยจำคำศัพท์และไวยากรณ์) Strategic Structure (โครงสร้างเชิงกลยุทธ์) และ Tree Tactics (วิธีการเรียนรู้โครงสร้างประโยคอย่างเป็นระบบโดยใช้ภาพต้นไม้เป็นสื่อ) เธอคนนี้ก็คือ "อริสรา ธนาปกิจ" หรือ "ครูพี่แนน" ที่เด็กรุ่นใหม่หลายคนรู้จักกันเป็นอย่างดีนั่นเอง
จำนวนสาขาที่มีอยู่ถึง 28 แห่งทั่วประเทศของโรงเรียนสอนภาษา Enconcept ที่เธอกับทีมงานร่วมกันปลุกปั้นมากับมืออาจกล่าวได้ว่าเป็นการเติบโตที่ยิ่งใหญ่ แต่หากให้ย้อนไปถึงจุดเริ่มต้น ครูพี่แนนเล่าว่า เธอเกือบจะปิดโรงเรียนไปขายก๋วยเตี๋ยวเสียแล้ว
"ช่วงแรก ๆ เป็นตึกแถวสองคูหามีเด็กเรียนรวมกันทั้งหมดประมาณ 60 กว่าคนเองค่ะ ตกแล้วห้องหนึ่งมีเด็กเรียนประมาณ 6 - 7 คน วันไหนฝนตก ติดสอบมิดเทอม เด็กก็จะหายไปอีก มีบางวันห้องเรียนว่างเปล่า ไม่มีเด็กมาเลยสักคน ตอนนั้นเราคิดหนักมากว่าเราต้องทำอย่างไรเพื่อให้เราก้าวข้ามสถานการณ์เหล่านี้ไปได้ นั่นคือที่มาของ 3 Fs แก่นสำคัญของที่นี่ ซึ่งได้แก่ Firm Foundation, Fun และ Friendship การเรียนของเรา วิชาการต้องแน่น เมื่อเด็กมาเรียนต้องสบายใจได้ว่า เขาจะมีความรู้มากขึ้น พร้อมสำหรับการสอบมากขึ้น ข้อต่อมา ต้องเรียนแล้วสนุก และข้อสุดท้ายคือ เฟรนด์ชิป ต้องมีการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างครูกับเด็ก ที่นี่เราเลือกใช้กิจกรรมเป็นตัวสร้างสีสัน เชื่อมความสัมพันธ์ ยกตัวอย่างเช่น ในช่วงสงกรานต์เราก็จะพาเด็ก ๆ ไปเผยแพร่วัฒนธรรมการเล่นน้ำสงกรานต์ที่ถูกต้องบริเวณถนนข้าวสาร เป็นต้น"
ไม่เพียงแต่ยึดหลัก 3 Fs แต่ห้องเรียนของที่นี่ยังเต็มไปด้วยนวัตกรรมด้านการเรียนการสอนใหม่ ๆ อีกมากมาย ล่าสุด มีการเปิดตัว S.E.L.F. หรือโปรแกรมเสริมแกร่งด้านการเรียนภาษาที่เรียกได้ว่า ไม่เหมือนใครในโลก
"พฤติกรรมการเรียนของเด็กไทยส่วนมากจะเป็นผู้รับ ทำให้เขารับได้เท่าที่ผู้สอนพยายามจะป้อนเท่านั้น นั่นจึงเป็นที่มาของโปรแกรม S.E.L.F. เพราะเราต้องการเปลี่ยนพฤติกรรมในจุดนี้ S.E.L.F. จะเป็นแหล่งที่เด็กสามารถเพาะความรู้ได้แบบไม่จำกัดบนแนวคิดพื้นฐานว่า Yourself Your success ปัจจุบัน เรามีฐานคำศัพท์อยู่กว่า 400,000 คำบนโปรแกรมดังกล่าว มีคลังข้อสอบ มีเครื่องมือช่วยอ่าน มีตะกร้าเก็บคำศัพท์ เด็กสามารถเช็คคะแนนตัวเองเปรียบเทียบกับเด็กทั่วประเทศ และยังต่อยอดพัฒนาได้อีกเยอะมากค่ะ ยกตัวอย่างเช่นโปรแกรมฝึกการฟัง - การพูด ซึ่งจะเปิดตัวในเฟสต่อไป เด็กสามารถฝึกฟังสำเนียงการพูดภาษาอังกฤษของคนหลายเชื้อชาติ ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และเด็กสามารถบันทึกเสียงตัวเองมาเทียบกับเสียงของเจ้าของภาษาได้ด้วย เลยเชื่อว่า S.E.L.F. จะช่วยพัฒนาทักษะด้านภาษาอังกฤษให้กับเด็กที่มาเรียนได้อีกมากค่ะ"
แนวคิดที่แปลกแหวกแนวไม่เหมือนใคร และความน่ารักสดใส เป็นกันเองถือเป็นจุดเด่นของครูพี่แนน แต่เมื่อย้อนถามถึงเส้นทาง กว่าจะก้าวมาถึง ณ จุดนี้ เธอบอกว่า ไม่มีสูตรสำเร็จ หรือการวางแผนที่ตายตัวแต่อย่างใด เพียงแต่เธอมีโอกาสทำงานในหลาย ๆ บทบาท จึงทำให้ค้นหาตัวตนที่แท้จริงพบว่า รักจะเป็นอะไร
"ตอนเด็ก ๆ พี่ฝันอยากเป็นล่ามมาก ประจวบเหมาะกับเอนต์ติดอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ด้วย ก็ยิ่งรู้สึกว่าใช่เลย แต่พอลองไปเป็นล่ามดู (ครูพี่แนนเคยเป็นล่ามภาษาสเปน - อังกฤษให้กับยูเนสโก) ก็พบว่าไม่ใช่งานที่เราชอบ ทำไมเราต้องพูดในสิ่งที่คนอื่นบอกด้วย พี่เลยเปลี่ยนแนว ไปลงเรียนคอร์สทางด้านการตลาดแทน (บริหารธุรกิจ สาขาพฤติกรรมองค์กรและการตลาด, ศศินทร์) ตอนนั้นไม่ได้คิดว่าจะมีบริษัทเป็นของตัวเองเลยนะคะ แต่ชอบฟิลิปส์ คอตเลอร์ ก็เลยไปลงเรียน ต่อมา พี่สมัครเข้าทำงานที่ยูนิลิเวอร์ (ตำแหน่ง Category Analyst) ค่ะ ช่วงนั้น จะเรียกว่าเป็นช่วงที่เหนื่อยมากก็ว่าได้ เพราะในยูนิลิเวอร์มีแต่คนเก่ง ๆ ทุ่มเททำงานกันทั้งนั้น แถมตอนเย็น - เสาร์อาทิตย์ พี่ก็เปิดโรงเรียนสอนภาษาแล้ว เรียกได้ว่า 7 วันนี่ทำงานตลอด ไม่มีเวลาพักเลย"
เมื่อเหนื่อยมากจนถึงขีดสุด เธอจึงหาโอกาสหยุดพักและถามตัวเองว่า จริง ๆ แล้วสิ่งที่หัวใจต้องการนั้นคืออะไร
"เข้าใจได้ว่า ความสำเร็จไม่ได้เกิดจากการที่เราประสบความสำเร็จในทุกด้านในชีวิต หรือการที่เราได้ทุกอย่างมาครอบครอง มันอยู่ที่เรามีสมดุลในชีวิตหรือเปล่า ตอนเป็นครู พี่รู้สึกมีความสุขที่ได้ทำประโยชน์ให้สังคม แม้ว่าจะเป็นบทบาทเล็ก ๆ แต่เราได้เห็นแววตาที่มุ่งมั่นของเด็ก ๆ เลยคิดว่าเลือกอาชีพนี้น่าจะถูกแล้ว และถ้าเด็กยังไม่เบื่อเรา ก็คงจะทำไปเรื่อย ๆ ค่ะ ซึ่งกว่าจะเป็นได้อย่างทุกวันนี้มันต้องใช้เวลาในการบ่มเพาะ เพราะในยุคนั้น คนที่จะเปิดโรงเรียนสอนภาษาได้ต้องเป็นครูจากโรงเรียนชื่อดัง แต่นี่เราเริ่มจากศูนย์ ไม่มีใครรู้จักเราเลย จนมาถึงทุกวันนี้เรามี 28 สาขา มีสื่อการสอนที่หลากหลาย มีดีวีดี มีดาวเทียม ก็ถือว่าน่าพอใจค่ะ"
แต่การยอมรับ และพอใจในหน้าที่การงาน รวมถึงแนวคิด "ทำในสิ่งที่รักให้ดีที่สุด" อาจยังไม่เพียงพอ ทุกวันนี้ ครูพี่แนนยังศึกษาธรรมะเพิ่มเติม เพื่อให้เข้าใจถึงความสุขจากภายในด้วย
"เริ่มจริง ๆ มาประมาณ 6 ปีแล้วค่ะ สาเหตุที่สนใจคือ เรามีคำถามกับตัวเองตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วว่า เกิดมาทำไม เพื่อเรียนให้ดีที่สุด เข้ามหาวิทยาลัยที่ดีที่สุด ทำงานให้ประสบความสำเร็จสูงสุด มีครอบครัวที่ดีที่สุดอย่างนั้นหรือ แต่ไม่เคยคิดจะสนใจหาคำตอบด้วยพุทธศาสนา เพราะเราเคยรู้สึกว่าการเรียนพุทธศาสนาเป็นการเรียนแบบท่องจำ จนวันหนึ่งพี่ไปเจอหนังสือเล่มหนึ่งเข้า ตั้งชื่อโดนใจมากว่า เกิดมาทำไม ของท่านพุทธทาสภิกขุ หนังสือเล่มนั้นให้คำตอบว่า คนเราเกิดมาเพื่อให้ไปถึงนิพพาน ทำให้พี่มาศึกษาเพิ่มว่า นิพพานคืออะไร จากนั้นก็ศึกษาธรรมะเรื่อยมาค่ะ"
ข้อดีที่เกิดกับตัวเองหลังจากได้ศึกษาธรรมะของครูพี่แนนก็คือ "เราได้เข้าใจตัวเราเองมากขึ้น เข้าใจสิ่งรอบข้างมากขึ้น รู้สึกว่าทุกข์น้อยลง กิเลสน้อยลง จากเมื่อก่อนทุกอย่างต้องสมบูรณ์ จะรับไม่ได้กับข้อผิดพลาด เมื่อศึกษาธรรมะก็เริ่มยอมรับได้ และเข้าใจมากขึ้นว่าทุกคนทำดีที่สุดแล้ว อีกอย่างคือ การทำประโยชน์ให้กับสังคม ถ้าไม่มีเราก็ยังมีคนอื่นทำได้ แต่การทำให้ประโยชน์ให้กับตัวเอง เราต้องเป็นคนทำด้วยตัวเอง ซึ่งก็คือต้องทำให้ความทุกข์น้อยลงเรื่อย ๆ เพื่อเป้าหมายสุดท้ายคือการพ้นทุกข์ค่ะ"
ประวัติ
ผลงาน
- ผู้คิดค้นเทคนิคการเรียนภาษาอังกฤษแนวใหม่หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น Memolody (การใช้เพลงช่วยจำคำศัพท์และไวยากรณ์) Strategic Structure (โครงสร้างเชิงกลยุทธ์) และ Tree Tactics (วิธีการเรียนรู้โครงสร้างประโยคอย่างเป็นระบบโดยใช้ภาพต้นไม้เป็นสื่อ)
เกียรตินิยมและรางวัล
- เกียรตินิยมอันดับหนึ่งเหรียญทอง คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่ออายุ 19 ปี
- ชนะเลิศการประกวดสุนทรพจน์ระหว่างมหาวิทยาลัย จัดโดย AUA
- คะแนนสูงสุดของประเทศไทยในการสอบ Pre ม.ต้น สายศิลป์คำนวณ จัดโดยชมรมบัณฑิตแนะแนว
การศึกษา
- ปริญญาโทบริหารธุรกิจ ศศินทร์
- ปริญญาตรี อักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ข้อมูลจาก http://blog.spu.ac.t...8/05/09/entry-5
#7
Posted 08 May 2010 - 10:19 AM
QUOTE(Bangkokkk @ May 8 2010, 10:10 AM) <{POST_SNAPBACK}>
เป็นกำลังใจให้นะจ้า
ถ้าคิดว่าอายุเป็นจุดออ่น
ลองอ่านประวัติของครูพี่แนนดูนะจ้า เผื่อเป็นแรงใจให้ได้จ้า
"ครูพี่แนน" ติวเตอร์ผู้ไม่มีสูตรสำเร็จ
สาวคนนี้บอกกับเราว่าชีวิตของเธอไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว แต่ก็เป็นเธอ ที่เอนทรานซ์ติดคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาปี 4 และก็เป็นเธออีกเช่นกันที่คว้าปริญญาตรีเกียรตินิยมอันดับ 1 เหรียญทองมาครองได้ตั้งแต่อายุ 19 ปี เท่านั้นยังไม่พอ ปัจจุบัน เธอยังมีตำแหน่งเป็นถึงรองผู้อำนวยการและหัวหน้าทีมผู้สอนภาษาอังกฤษของสถาบัน Enconcept E-Academy
ผู้คิดค้นเทคนิคการเรียนภาษาอังกฤษแนวใหม่หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น Memolody (การใช้เพลงช่วยจำคำศัพท์และไวยากรณ์) Strategic Structure (โครงสร้างเชิงกลยุทธ์) และ Tree Tactics (วิธีการเรียนรู้โครงสร้างประโยคอย่างเป็นระบบโดยใช้ภาพต้นไม้เป็นสื่อ) เธอคนนี้ก็คือ "อริสรา ธนาปกิจ" หรือ "ครูพี่แนน" ที่เด็กรุ่นใหม่หลายคนรู้จักกันเป็นอย่างดีนั่นเอง
จำนวนสาขาที่มีอยู่ถึง 28 แห่งทั่วประเทศของโรงเรียนสอนภาษา Enconcept ที่เธอกับทีมงานร่วมกันปลุกปั้นมากับมืออาจกล่าวได้ว่าเป็นการเติบโตที่ยิ่งใหญ่ แต่หากให้ย้อนไปถึงจุดเริ่มต้น ครูพี่แนนเล่าว่า เธอเกือบจะปิดโรงเรียนไปขายก๋วยเตี๋ยวเสียแล้ว
"ช่วงแรก ๆ เป็นตึกแถวสองคูหามีเด็กเรียนรวมกันทั้งหมดประมาณ 60 กว่าคนเองค่ะ ตกแล้วห้องหนึ่งมีเด็กเรียนประมาณ 6 - 7 คน วันไหนฝนตก ติดสอบมิดเทอม เด็กก็จะหายไปอีก มีบางวันห้องเรียนว่างเปล่า ไม่มีเด็กมาเลยสักคน ตอนนั้นเราคิดหนักมากว่าเราต้องทำอย่างไรเพื่อให้เราก้าวข้ามสถานการณ์เหล่านี้ไปได้ นั่นคือที่มาของ 3 Fs แก่นสำคัญของที่นี่ ซึ่งได้แก่ Firm Foundation, Fun และ Friendship การเรียนของเรา วิชาการต้องแน่น เมื่อเด็กมาเรียนต้องสบายใจได้ว่า เขาจะมีความรู้มากขึ้น พร้อมสำหรับการสอบมากขึ้น ข้อต่อมา ต้องเรียนแล้วสนุก และข้อสุดท้ายคือ เฟรนด์ชิป ต้องมีการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างครูกับเด็ก ที่นี่เราเลือกใช้กิจกรรมเป็นตัวสร้างสีสัน เชื่อมความสัมพันธ์ ยกตัวอย่างเช่น ในช่วงสงกรานต์เราก็จะพาเด็ก ๆ ไปเผยแพร่วัฒนธรรมการเล่นน้ำสงกรานต์ที่ถูกต้องบริเวณถนนข้าวสาร เป็นต้น"
ไม่เพียงแต่ยึดหลัก 3 Fs แต่ห้องเรียนของที่นี่ยังเต็มไปด้วยนวัตกรรมด้านการเรียนการสอนใหม่ ๆ อีกมากมาย ล่าสุด มีการเปิดตัว S.E.L.F. หรือโปรแกรมเสริมแกร่งด้านการเรียนภาษาที่เรียกได้ว่า ไม่เหมือนใครในโลก
"พฤติกรรมการเรียนของเด็กไทยส่วนมากจะเป็นผู้รับ ทำให้เขารับได้เท่าที่ผู้สอนพยายามจะป้อนเท่านั้น นั่นจึงเป็นที่มาของโปรแกรม S.E.L.F. เพราะเราต้องการเปลี่ยนพฤติกรรมในจุดนี้ S.E.L.F. จะเป็นแหล่งที่เด็กสามารถเพาะความรู้ได้แบบไม่จำกัดบนแนวคิดพื้นฐานว่า Yourself Your success ปัจจุบัน เรามีฐานคำศัพท์อยู่กว่า 400,000 คำบนโปรแกรมดังกล่าว มีคลังข้อสอบ มีเครื่องมือช่วยอ่าน มีตะกร้าเก็บคำศัพท์ เด็กสามารถเช็คคะแนนตัวเองเปรียบเทียบกับเด็กทั่วประเทศ และยังต่อยอดพัฒนาได้อีกเยอะมากค่ะ ยกตัวอย่างเช่นโปรแกรมฝึกการฟัง - การพูด ซึ่งจะเปิดตัวในเฟสต่อไป เด็กสามารถฝึกฟังสำเนียงการพูดภาษาอังกฤษของคนหลายเชื้อชาติ ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และเด็กสามารถบันทึกเสียงตัวเองมาเทียบกับเสียงของเจ้าของภาษาได้ด้วย เลยเชื่อว่า S.E.L.F. จะช่วยพัฒนาทักษะด้านภาษาอังกฤษให้กับเด็กที่มาเรียนได้อีกมากค่ะ"
แนวคิดที่แปลกแหวกแนวไม่เหมือนใคร และความน่ารักสดใส เป็นกันเองถือเป็นจุดเด่นของครูพี่แนน แต่เมื่อย้อนถามถึงเส้นทาง กว่าจะก้าวมาถึง ณ จุดนี้ เธอบอกว่า ไม่มีสูตรสำเร็จ หรือการวางแผนที่ตายตัวแต่อย่างใด เพียงแต่เธอมีโอกาสทำงานในหลาย ๆ บทบาท จึงทำให้ค้นหาตัวตนที่แท้จริงพบว่า รักจะเป็นอะไร
"ตอนเด็ก ๆ พี่ฝันอยากเป็นล่ามมาก ประจวบเหมาะกับเอนต์ติดอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ด้วย ก็ยิ่งรู้สึกว่าใช่เลย แต่พอลองไปเป็นล่ามดู (ครูพี่แนนเคยเป็นล่ามภาษาสเปน - อังกฤษให้กับยูเนสโก) ก็พบว่าไม่ใช่งานที่เราชอบ ทำไมเราต้องพูดในสิ่งที่คนอื่นบอกด้วย พี่เลยเปลี่ยนแนว ไปลงเรียนคอร์สทางด้านการตลาดแทน (บริหารธุรกิจ สาขาพฤติกรรมองค์กรและการตลาด, ศศินทร์) ตอนนั้นไม่ได้คิดว่าจะมีบริษัทเป็นของตัวเองเลยนะคะ แต่ชอบฟิลิปส์ คอตเลอร์ ก็เลยไปลงเรียน ต่อมา พี่สมัครเข้าทำงานที่ยูนิลิเวอร์ (ตำแหน่ง Category Analyst) ค่ะ ช่วงนั้น จะเรียกว่าเป็นช่วงที่เหนื่อยมากก็ว่าได้ เพราะในยูนิลิเวอร์มีแต่คนเก่ง ๆ ทุ่มเททำงานกันทั้งนั้น แถมตอนเย็น - เสาร์อาทิตย์ พี่ก็เปิดโรงเรียนสอนภาษาแล้ว เรียกได้ว่า 7 วันนี่ทำงานตลอด ไม่มีเวลาพักเลย"
เมื่อเหนื่อยมากจนถึงขีดสุด เธอจึงหาโอกาสหยุดพักและถามตัวเองว่า จริง ๆ แล้วสิ่งที่หัวใจต้องการนั้นคืออะไร
"เข้าใจได้ว่า ความสำเร็จไม่ได้เกิดจากการที่เราประสบความสำเร็จในทุกด้านในชีวิต หรือการที่เราได้ทุกอย่างมาครอบครอง มันอยู่ที่เรามีสมดุลในชีวิตหรือเปล่า ตอนเป็นครู พี่รู้สึกมีความสุขที่ได้ทำประโยชน์ให้สังคม แม้ว่าจะเป็นบทบาทเล็ก ๆ แต่เราได้เห็นแววตาที่มุ่งมั่นของเด็ก ๆ เลยคิดว่าเลือกอาชีพนี้น่าจะถูกแล้ว และถ้าเด็กยังไม่เบื่อเรา ก็คงจะทำไปเรื่อย ๆ ค่ะ ซึ่งกว่าจะเป็นได้อย่างทุกวันนี้มันต้องใช้เวลาในการบ่มเพาะ เพราะในยุคนั้น คนที่จะเปิดโรงเรียนสอนภาษาได้ต้องเป็นครูจากโรงเรียนชื่อดัง แต่นี่เราเริ่มจากศูนย์ ไม่มีใครรู้จักเราเลย จนมาถึงทุกวันนี้เรามี 28 สาขา มีสื่อการสอนที่หลากหลาย มีดีวีดี มีดาวเทียม ก็ถือว่าน่าพอใจค่ะ"
แต่การยอมรับ และพอใจในหน้าที่การงาน รวมถึงแนวคิด "ทำในสิ่งที่รักให้ดีที่สุด" อาจยังไม่เพียงพอ ทุกวันนี้ ครูพี่แนนยังศึกษาธรรมะเพิ่มเติม เพื่อให้เข้าใจถึงความสุขจากภายในด้วย
"เริ่มจริง ๆ มาประมาณ 6 ปีแล้วค่ะ สาเหตุที่สนใจคือ เรามีคำถามกับตัวเองตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วว่า เกิดมาทำไม เพื่อเรียนให้ดีที่สุด เข้ามหาวิทยาลัยที่ดีที่สุด ทำงานให้ประสบความสำเร็จสูงสุด มีครอบครัวที่ดีที่สุดอย่างนั้นหรือ แต่ไม่เคยคิดจะสนใจหาคำตอบด้วยพุทธศาสนา เพราะเราเคยรู้สึกว่าการเรียนพุทธศาสนาเป็นการเรียนแบบท่องจำ จนวันหนึ่งพี่ไปเจอหนังสือเล่มหนึ่งเข้า ตั้งชื่อโดนใจมากว่า เกิดมาทำไม ของท่านพุทธทาสภิกขุ หนังสือเล่มนั้นให้คำตอบว่า คนเราเกิดมาเพื่อให้ไปถึงนิพพาน ทำให้พี่มาศึกษาเพิ่มว่า นิพพานคืออะไร จากนั้นก็ศึกษาธรรมะเรื่อยมาค่ะ"
ข้อดีที่เกิดกับตัวเองหลังจากได้ศึกษาธรรมะของครูพี่แนนก็คือ "เราได้เข้าใจตัวเราเองมากขึ้น เข้าใจสิ่งรอบข้างมากขึ้น รู้สึกว่าทุกข์น้อยลง กิเลสน้อยลง จากเมื่อก่อนทุกอย่างต้องสมบูรณ์ จะรับไม่ได้กับข้อผิดพลาด เมื่อศึกษาธรรมะก็เริ่มยอมรับได้ และเข้าใจมากขึ้นว่าทุกคนทำดีที่สุดแล้ว อีกอย่างคือ การทำประโยชน์ให้กับสังคม ถ้าไม่มีเราก็ยังมีคนอื่นทำได้ แต่การทำให้ประโยชน์ให้กับตัวเอง เราต้องเป็นคนทำด้วยตัวเอง ซึ่งก็คือต้องทำให้ความทุกข์น้อยลงเรื่อย ๆ เพื่อเป้าหมายสุดท้ายคือการพ้นทุกข์ค่ะ"
ประวัติ
ผลงาน
- ผู้คิดค้นเทคนิคการเรียนภาษาอังกฤษแนวใหม่หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น Memolody (การใช้เพลงช่วยจำคำศัพท์และไวยากรณ์) Strategic Structure (โครงสร้างเชิงกลยุทธ์) และ Tree Tactics (วิธีการเรียนรู้โครงสร้างประโยคอย่างเป็นระบบโดยใช้ภาพต้นไม้เป็นสื่อ)
เกียรตินิยมและรางวัล
- เกียรตินิยมอันดับหนึ่งเหรียญทอง คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่ออายุ 19 ปี
- ชนะเลิศการประกวดสุนทรพจน์ระหว่างมหาวิทยาลัย จัดโดย AUA
- คะแนนสูงสุดของประเทศไทยในการสอบ Pre ม.ต้น สายศิลป์คำนวณ จัดโดยชมรมบัณฑิตแนะแนว
การศึกษา
- ปริญญาโทบริหารธุรกิจ ศศินทร์
- ปริญญาตรี อักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ข้อมูลจาก http://blog.spu.ac.t...8/05/09/entry-5
ถ้าคิดว่าอายุเป็นจุดออ่น
ลองอ่านประวัติของครูพี่แนนดูนะจ้า เผื่อเป็นแรงใจให้ได้จ้า
"ครูพี่แนน" ติวเตอร์ผู้ไม่มีสูตรสำเร็จ
สาวคนนี้บอกกับเราว่าชีวิตของเธอไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว แต่ก็เป็นเธอ ที่เอนทรานซ์ติดคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาปี 4 และก็เป็นเธออีกเช่นกันที่คว้าปริญญาตรีเกียรตินิยมอันดับ 1 เหรียญทองมาครองได้ตั้งแต่อายุ 19 ปี เท่านั้นยังไม่พอ ปัจจุบัน เธอยังมีตำแหน่งเป็นถึงรองผู้อำนวยการและหัวหน้าทีมผู้สอนภาษาอังกฤษของสถาบัน Enconcept E-Academy
ผู้คิดค้นเทคนิคการเรียนภาษาอังกฤษแนวใหม่หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น Memolody (การใช้เพลงช่วยจำคำศัพท์และไวยากรณ์) Strategic Structure (โครงสร้างเชิงกลยุทธ์) และ Tree Tactics (วิธีการเรียนรู้โครงสร้างประโยคอย่างเป็นระบบโดยใช้ภาพต้นไม้เป็นสื่อ) เธอคนนี้ก็คือ "อริสรา ธนาปกิจ" หรือ "ครูพี่แนน" ที่เด็กรุ่นใหม่หลายคนรู้จักกันเป็นอย่างดีนั่นเอง
จำนวนสาขาที่มีอยู่ถึง 28 แห่งทั่วประเทศของโรงเรียนสอนภาษา Enconcept ที่เธอกับทีมงานร่วมกันปลุกปั้นมากับมืออาจกล่าวได้ว่าเป็นการเติบโตที่ยิ่งใหญ่ แต่หากให้ย้อนไปถึงจุดเริ่มต้น ครูพี่แนนเล่าว่า เธอเกือบจะปิดโรงเรียนไปขายก๋วยเตี๋ยวเสียแล้ว
"ช่วงแรก ๆ เป็นตึกแถวสองคูหามีเด็กเรียนรวมกันทั้งหมดประมาณ 60 กว่าคนเองค่ะ ตกแล้วห้องหนึ่งมีเด็กเรียนประมาณ 6 - 7 คน วันไหนฝนตก ติดสอบมิดเทอม เด็กก็จะหายไปอีก มีบางวันห้องเรียนว่างเปล่า ไม่มีเด็กมาเลยสักคน ตอนนั้นเราคิดหนักมากว่าเราต้องทำอย่างไรเพื่อให้เราก้าวข้ามสถานการณ์เหล่านี้ไปได้ นั่นคือที่มาของ 3 Fs แก่นสำคัญของที่นี่ ซึ่งได้แก่ Firm Foundation, Fun และ Friendship การเรียนของเรา วิชาการต้องแน่น เมื่อเด็กมาเรียนต้องสบายใจได้ว่า เขาจะมีความรู้มากขึ้น พร้อมสำหรับการสอบมากขึ้น ข้อต่อมา ต้องเรียนแล้วสนุก และข้อสุดท้ายคือ เฟรนด์ชิป ต้องมีการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างครูกับเด็ก ที่นี่เราเลือกใช้กิจกรรมเป็นตัวสร้างสีสัน เชื่อมความสัมพันธ์ ยกตัวอย่างเช่น ในช่วงสงกรานต์เราก็จะพาเด็ก ๆ ไปเผยแพร่วัฒนธรรมการเล่นน้ำสงกรานต์ที่ถูกต้องบริเวณถนนข้าวสาร เป็นต้น"
ไม่เพียงแต่ยึดหลัก 3 Fs แต่ห้องเรียนของที่นี่ยังเต็มไปด้วยนวัตกรรมด้านการเรียนการสอนใหม่ ๆ อีกมากมาย ล่าสุด มีการเปิดตัว S.E.L.F. หรือโปรแกรมเสริมแกร่งด้านการเรียนภาษาที่เรียกได้ว่า ไม่เหมือนใครในโลก
"พฤติกรรมการเรียนของเด็กไทยส่วนมากจะเป็นผู้รับ ทำให้เขารับได้เท่าที่ผู้สอนพยายามจะป้อนเท่านั้น นั่นจึงเป็นที่มาของโปรแกรม S.E.L.F. เพราะเราต้องการเปลี่ยนพฤติกรรมในจุดนี้ S.E.L.F. จะเป็นแหล่งที่เด็กสามารถเพาะความรู้ได้แบบไม่จำกัดบนแนวคิดพื้นฐานว่า Yourself Your success ปัจจุบัน เรามีฐานคำศัพท์อยู่กว่า 400,000 คำบนโปรแกรมดังกล่าว มีคลังข้อสอบ มีเครื่องมือช่วยอ่าน มีตะกร้าเก็บคำศัพท์ เด็กสามารถเช็คคะแนนตัวเองเปรียบเทียบกับเด็กทั่วประเทศ และยังต่อยอดพัฒนาได้อีกเยอะมากค่ะ ยกตัวอย่างเช่นโปรแกรมฝึกการฟัง - การพูด ซึ่งจะเปิดตัวในเฟสต่อไป เด็กสามารถฝึกฟังสำเนียงการพูดภาษาอังกฤษของคนหลายเชื้อชาติ ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และเด็กสามารถบันทึกเสียงตัวเองมาเทียบกับเสียงของเจ้าของภาษาได้ด้วย เลยเชื่อว่า S.E.L.F. จะช่วยพัฒนาทักษะด้านภาษาอังกฤษให้กับเด็กที่มาเรียนได้อีกมากค่ะ"
แนวคิดที่แปลกแหวกแนวไม่เหมือนใคร และความน่ารักสดใส เป็นกันเองถือเป็นจุดเด่นของครูพี่แนน แต่เมื่อย้อนถามถึงเส้นทาง กว่าจะก้าวมาถึง ณ จุดนี้ เธอบอกว่า ไม่มีสูตรสำเร็จ หรือการวางแผนที่ตายตัวแต่อย่างใด เพียงแต่เธอมีโอกาสทำงานในหลาย ๆ บทบาท จึงทำให้ค้นหาตัวตนที่แท้จริงพบว่า รักจะเป็นอะไร
"ตอนเด็ก ๆ พี่ฝันอยากเป็นล่ามมาก ประจวบเหมาะกับเอนต์ติดอักษรศาสตร์ จุฬาฯ ด้วย ก็ยิ่งรู้สึกว่าใช่เลย แต่พอลองไปเป็นล่ามดู (ครูพี่แนนเคยเป็นล่ามภาษาสเปน - อังกฤษให้กับยูเนสโก) ก็พบว่าไม่ใช่งานที่เราชอบ ทำไมเราต้องพูดในสิ่งที่คนอื่นบอกด้วย พี่เลยเปลี่ยนแนว ไปลงเรียนคอร์สทางด้านการตลาดแทน (บริหารธุรกิจ สาขาพฤติกรรมองค์กรและการตลาด, ศศินทร์) ตอนนั้นไม่ได้คิดว่าจะมีบริษัทเป็นของตัวเองเลยนะคะ แต่ชอบฟิลิปส์ คอตเลอร์ ก็เลยไปลงเรียน ต่อมา พี่สมัครเข้าทำงานที่ยูนิลิเวอร์ (ตำแหน่ง Category Analyst) ค่ะ ช่วงนั้น จะเรียกว่าเป็นช่วงที่เหนื่อยมากก็ว่าได้ เพราะในยูนิลิเวอร์มีแต่คนเก่ง ๆ ทุ่มเททำงานกันทั้งนั้น แถมตอนเย็น - เสาร์อาทิตย์ พี่ก็เปิดโรงเรียนสอนภาษาแล้ว เรียกได้ว่า 7 วันนี่ทำงานตลอด ไม่มีเวลาพักเลย"
เมื่อเหนื่อยมากจนถึงขีดสุด เธอจึงหาโอกาสหยุดพักและถามตัวเองว่า จริง ๆ แล้วสิ่งที่หัวใจต้องการนั้นคืออะไร
"เข้าใจได้ว่า ความสำเร็จไม่ได้เกิดจากการที่เราประสบความสำเร็จในทุกด้านในชีวิต หรือการที่เราได้ทุกอย่างมาครอบครอง มันอยู่ที่เรามีสมดุลในชีวิตหรือเปล่า ตอนเป็นครู พี่รู้สึกมีความสุขที่ได้ทำประโยชน์ให้สังคม แม้ว่าจะเป็นบทบาทเล็ก ๆ แต่เราได้เห็นแววตาที่มุ่งมั่นของเด็ก ๆ เลยคิดว่าเลือกอาชีพนี้น่าจะถูกแล้ว และถ้าเด็กยังไม่เบื่อเรา ก็คงจะทำไปเรื่อย ๆ ค่ะ ซึ่งกว่าจะเป็นได้อย่างทุกวันนี้มันต้องใช้เวลาในการบ่มเพาะ เพราะในยุคนั้น คนที่จะเปิดโรงเรียนสอนภาษาได้ต้องเป็นครูจากโรงเรียนชื่อดัง แต่นี่เราเริ่มจากศูนย์ ไม่มีใครรู้จักเราเลย จนมาถึงทุกวันนี้เรามี 28 สาขา มีสื่อการสอนที่หลากหลาย มีดีวีดี มีดาวเทียม ก็ถือว่าน่าพอใจค่ะ"
แต่การยอมรับ และพอใจในหน้าที่การงาน รวมถึงแนวคิด "ทำในสิ่งที่รักให้ดีที่สุด" อาจยังไม่เพียงพอ ทุกวันนี้ ครูพี่แนนยังศึกษาธรรมะเพิ่มเติม เพื่อให้เข้าใจถึงความสุขจากภายในด้วย
"เริ่มจริง ๆ มาประมาณ 6 ปีแล้วค่ะ สาเหตุที่สนใจคือ เรามีคำถามกับตัวเองตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วว่า เกิดมาทำไม เพื่อเรียนให้ดีที่สุด เข้ามหาวิทยาลัยที่ดีที่สุด ทำงานให้ประสบความสำเร็จสูงสุด มีครอบครัวที่ดีที่สุดอย่างนั้นหรือ แต่ไม่เคยคิดจะสนใจหาคำตอบด้วยพุทธศาสนา เพราะเราเคยรู้สึกว่าการเรียนพุทธศาสนาเป็นการเรียนแบบท่องจำ จนวันหนึ่งพี่ไปเจอหนังสือเล่มหนึ่งเข้า ตั้งชื่อโดนใจมากว่า เกิดมาทำไม ของท่านพุทธทาสภิกขุ หนังสือเล่มนั้นให้คำตอบว่า คนเราเกิดมาเพื่อให้ไปถึงนิพพาน ทำให้พี่มาศึกษาเพิ่มว่า นิพพานคืออะไร จากนั้นก็ศึกษาธรรมะเรื่อยมาค่ะ"
ข้อดีที่เกิดกับตัวเองหลังจากได้ศึกษาธรรมะของครูพี่แนนก็คือ "เราได้เข้าใจตัวเราเองมากขึ้น เข้าใจสิ่งรอบข้างมากขึ้น รู้สึกว่าทุกข์น้อยลง กิเลสน้อยลง จากเมื่อก่อนทุกอย่างต้องสมบูรณ์ จะรับไม่ได้กับข้อผิดพลาด เมื่อศึกษาธรรมะก็เริ่มยอมรับได้ และเข้าใจมากขึ้นว่าทุกคนทำดีที่สุดแล้ว อีกอย่างคือ การทำประโยชน์ให้กับสังคม ถ้าไม่มีเราก็ยังมีคนอื่นทำได้ แต่การทำให้ประโยชน์ให้กับตัวเอง เราต้องเป็นคนทำด้วยตัวเอง ซึ่งก็คือต้องทำให้ความทุกข์น้อยลงเรื่อย ๆ เพื่อเป้าหมายสุดท้ายคือการพ้นทุกข์ค่ะ"
ประวัติ
ผลงาน
- ผู้คิดค้นเทคนิคการเรียนภาษาอังกฤษแนวใหม่หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น Memolody (การใช้เพลงช่วยจำคำศัพท์และไวยากรณ์) Strategic Structure (โครงสร้างเชิงกลยุทธ์) และ Tree Tactics (วิธีการเรียนรู้โครงสร้างประโยคอย่างเป็นระบบโดยใช้ภาพต้นไม้เป็นสื่อ)
เกียรตินิยมและรางวัล
- เกียรตินิยมอันดับหนึ่งเหรียญทอง คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่ออายุ 19 ปี
- ชนะเลิศการประกวดสุนทรพจน์ระหว่างมหาวิทยาลัย จัดโดย AUA
- คะแนนสูงสุดของประเทศไทยในการสอบ Pre ม.ต้น สายศิลป์คำนวณ จัดโดยชมรมบัณฑิตแนะแนว
การศึกษา
- ปริญญาโทบริหารธุรกิจ ศศินทร์
- ปริญญาตรี อักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ข้อมูลจาก http://blog.spu.ac.t...8/05/09/entry-5
ขอบพระคุณมากๆ ค่ะ สำหรับพี่ที่ให้ข้อมูล
ครูพี่แนนสุดยอดจริงๆ ค่ะ
ต่อไปนี้พรีมจะไม่คิดว่าเลข 18 เป็นจุดอ่อนอีกต่อไปแล้ว
ขอบพระคุณอีกครั้งค่ะ
#8
Posted 10 May 2010 - 01:58 PM
พรีมเข้ามาเช็คทุกวันเลยนะคะ
ขอบพระคุณพี่ๆที่สนใจเข้ามาอ่านเรื่อยๆนะคะ
มีอะไรเพิ่มเติมก็คุยกันก่อนได้ค่ะที่ preamtr@hotmail.com
ขอบพระคุณพี่ๆที่สนใจเข้ามาอ่านเรื่อยๆนะคะ
มีอะไรเพิ่มเติมก็คุยกันก่อนได้ค่ะที่ preamtr@hotmail.com
0 user(s) are reading this topic
0 members, 0 guests, 0 anonymous users